'

ให้พวกเรายังคงยืนอยู่เพียงสักครู่หนึ่ง ขณะที่พวกเราก้มศีรษะของพวกเราลง มีคำร้องขอพิเศษไหมครับ? ถ้าพวกคุณมี ให้เป็นที่รู้กันโดยการยกมือของคุณแด่พระเจ้า และทูลว่า “พระบิดา, พระองค์ทรงรู้ความปรารถนาของข้าพระองค์”

พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายช่างเป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษจริงๆ ในเช้านี้ที่ได้มาชุมนุมกันในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ว่า มีคนหลายคนที่อยากจะอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าในเช้านี้ และที่อยู่ในโรงพยาบาลและเตียงของความเจ็บป่วย และพระองค์ได้ทรงมอบสิทธิพิเศษนี้ให้กับข้าพระองค์ทั้งหลายที่จะอยู่ที่นี่ในวันนี้ และข้าพระองค์ทั้งหลายไม่เคยมา พระเจ้า ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้พบกันและกัน ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายชอบการสามัคคีธรรมร่วมกัน แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายอาจจะทำที่บ้านของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ แต่กระนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายมาที่นี่เพื่อสามัคคีธรรมกับพระองค์ผู้ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายมารวมกันเป็นพี่น้องและลูกๆ ที่รัก

เวลานี้ข้าพระองค์ทั้งหลายขอขอบพระคุณพระองค์ และทางเดียวที่ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ที่จะสามัคคีธรรมได้อย่างถูกต้องกับพระองค์คือ อยู่ในพระวจนะของพระองค์ พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง ข้าพระองค์ทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่เพื่อความแข็งแกร่งในฝ่ายวิญญาณ ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องการมัน พระบิดา ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องมีความทรหดที่จะแบกกางเขนนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐานทูลขอว่า พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เต็มล้นในวันนี้ และจะทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทั้งหมดเข้มแข็ง โปรดประทานคำร้องขอของประชากรของพระองค์ตามที่พวกเขาได้มารวมตัวกันและยกมือของพวกเขาขึ้นแด่พระองค์ว่าพวกเขามีความปรารถนาในสิ่งนั้นๆ ขอทรงตอบแต่ละคนด้วยเถิด พระบิดา”

ข้าพระองค์ทั้งหลายขอขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงไว้ชีวิตของอุนเกรน พี่น้องหญิงของข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อคืนในอุบัติเหตุบนท้องถนนที่นี่ พระองค์ทรงมีพระเมตตากับพวกเขา พระบิดา และข้าพระองค์ทั้งหลายขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งนั้น

และในเวลานี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐานทูลขอพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ว่า พระองค์จะทรงยังคงสถิตย์อยู่กับข้าพระองค์ทั้งหลายเรื่อยไปและทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายเดินทางในแต่ละคนและทุกคนของข้าพระองค์ทั้งหลาย โปรดประทาน ฤทธิ์เดชของพระองค์ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย และความเชื่อที่รู้ว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่พรากไปจากพระสิริของพระองค์ ในเวลาที่ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่สามารถช่วยตัวข้าพระองค์ทั้งหลายเองได้ ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะตั้งค่ายรายล้อมผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และพวกเขาจะคอยประคองส้นเท้าของข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ให้กระแทกกับหิน เวลานี้ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐานทูลขอว่า พระองค์จะทรงโปรดประทานพระพรนานาประการของพระองค์ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายสำหรับพระวจนะ และตรัสผ่านข้าพระองค์ทั้งหลาย- ในข้าพระองค์ทั้งหลาย ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ผมรู้สึกปลื้มปิติแสงแดดจากภายนอก ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสง มันแย่มากเมื่อเช้านี้ และผมคิดว่าโดยเฉพาะในประเทศนี้พวกเรามีอากาศอึมครึม มาก อากาศที่ทำให้อ่อนเพลีย และมันดีมากครับที่จะเห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงออกมา

การชุมนุมกันอีกครั้งหนึ่งของครอบครัวเล็กๆ วันนี้ ผมพบพี่น้องชายของผมที่บ้านของน้องสาวของผมและบางคนจากสายสัมพันธ์ของพวกเรารอบๆ เมืองและล้อมรอบ . . . มีผู้คนกลุ่มใหญ่ของพวก บรานฮาม ถ้าทุกคนมารวมกันจากรัฐเคนตั๊กกี้, และที่นี่ ผมคาดว่าพวกเราต้องเช่าเมืองนี้ มีจำนวนมากมายของพวกเขา แต่แค่งานคืนสู่เหย้าเล็กน้อยงานหนึ่ง . . . พวกเราเคยพบกันที่บ้านพวกคุณแม่ และนางเป็นเสาหลักเก่าที่จัดพวกเราไว้ด้วยกันประมาณนั้น แต่พระเจ้าทรงนำเสาหลักนั้นไปไว้บนสวรรค์ และผมหวังว่าพวกเราจะเจอกันสักวันหนึ่ง

และตอนนี้ผมได้กล่าวไว้ในวันก่อนว่า “พวกคุณรู้ไหมครับ ผมเชื่อว่า ผมจะตัดคำเทศนาวันอาทิตย์ของผมลงประมาณยี่สิบหรือสามสิบนาทีหรือ และจากนั้นอธิษฐานเผื่อคนป่วย...” และผมคิดถึงสิ่งนั้นในเช้านี้ และผมคิดเมื่อคืนนี้เมื่อซิสเตอร์ดาวน์นิ่งได้โทรศัพท์หาผมและบอกว่า โทรหาบิลลี่แล้วและพูดว่า นางและซิสเตอร์อุนเกรนอยู่บนถนนที่ลื่นขึ้นและได้ลื่นไหลข้ามถนนและเสียหลัก และในขณะที่บิลลี่อยู่ที่หน้าต่างด้วย . . . (ผมไม่ทราบว่ามันเป็นเวลาใด อาจจะตอนเช้านี้ ผมหลับไปเล็กน้อย) ผมมองลงมาที่บราเดอร์วูดส์ ; แสงสว่างแล้ว และผมเพิ่งคุกเข่าอธิษฐาน และเมื่อผมทำแล้วบางสิ่งบางอย่างบอกผมว่า “ไม่เป็นไร” ดังนั้นผมก็เลยบอกบิลลี่ว่า “บอกนางว่า ทุกอย่าง ผมคิดว่าไม่เป็นไร”

ผมดีใจมากที่พบพวกเขาในเช้านี้นั่งอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้ากลับมาที่นี่หลังจาก . . . บนถนน . . . คนหนึ่งที่รักคุณมาก มาหลายร้อยไมล์เพื่อฟังคำเทศนา ดังนั้นผมคิดว่าคำเทศนายี่สิบนาที จะช้าเท่าที่ผมจะช้าได้ พวกเขาคงจะไม่ดี ดังนั้นผมคิดว่าผมเพียงแค่. . . นานเท่านั้น

แล้วจากนั้นบราเดอร์อุนเกรน ลูกชายของเขาร้องเพลงเช้านี้ “พระเจ้ายิ่งใหญ่” พระองค์ทรงมี-พระองค์ทรงมีหมายความกับเขาเช้านี้มากกว่าเมื่อวานตอนบ่าย เพราะว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงไว้ชีวิต คุณแม่และน้องสาวอันเป็นที่รัก

ตอนนี้วันนี้พวกเราคาดหวังเวลาที่ยอดเยี่ยมในพระเจ้าและผมมีสองหรือสามข้อความที่แตกต่างกันที่นี่ที่ผมมองอยู่ และผมนึกไม่ออกว่าอันไหนที่ผมจะเทศนาในเช้าวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ “ปล่อยวางภาระใจของพวกคุณให้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยคุณ” ตอนนี้ ถ้าพระองค์ทรงห่วงใย ทำไมพวกคุณไม่? แล้วคุณอื่น บิลลี่ พอล . . .หรือไม่ บิลลี่ พอล, ลูกชายอีกคนของผม โยเซฟ ได้ข้อความนี้มาให้ผมนานแล้ว วันหนึ่งผมนั่งอยู่ในห้อง เขาบอกว่า มองขึ้นไปที่รูปภาพ (และบิลลี่ หรือโยเซฟชอบเรือมากเหมือนพวกเด็กผู้ชายเล็กๆ – เรือและม้า พวกคุณทราบไหมครับ) และเขาพูดกับผมว่า “คุณพ่อครับ พระเยซูทรงมีเรือไหมครับ? “

และผมบอกว่า “พ่อไม่ทราบครับ”

แล้วหลังจากที่เขาตื่นนอนและออกไป ผมได้ฉุกคิดว่า “พระองค์ทรงมีเรือไหม?” และผมได้นำข้อความมาจากสิ่งนั้น เพียงแค่จดมันลงไปบนหนังสือของผมว่า “พระเยซูทรงมีเรือหรือไม่?”

ผมได้ฉุกคิดว่า เมื่อพระองค์ทรงประทับอยู่ที่นี่บนโลก พระองค์ทรงต้องขอยืมครรภ์ที่จะประสูติ, หลุมฝังศพที่จะถูกฝัง, เรือที่จะเทศนา แต่กระนั้นพระองค์ทรงเป็นนักบินของเรือโบราณแห่งพวกศิโยน พระองค์ทรงมีอย่างแน่นอน แต่ในข้อความเหล่านั้นที่ผมกำลังคิดอยู่ – กำลังคิด

ว่าบางทีผมอาจจะได้รับข้อความเหล่านั้นในภายหลัง ก่อนที่พวกเราจะกลับไป

พวกคุณรู้ไหมครับ, ผมชอบที่จะเทศนาจากคริสตจักรที่นี่เพราะมันเป็นคริสตจักรของพวกเราเอง พวกเรารู้สึกถึงเสรีภาพที่จะพูดสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส ณ สถานที่อื่นๆ ถึงแม้ว่าพวกคนทั้งหลายอยากจะทำให้คุณรู้สึกยินดีในการต้อนรับ คุณรู้สึกแบบว่าอึดอัด เพราะว่าคุณอยู่ในคริสตจักรของคนอื่น และคุณอยากจะเป็นสุภาพบุรุษเพียงพอที่จะเคารพความคิดและหลักคำสอนของพวกเขา

ได้มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในสัปดาห์นี้ที่บ้านของบราเดอร์เบอร์แชมที่นั่น ผมเดินเข้าไปในโรงงานที่พวกเขาทำเนยแข็ง (ผมเห็นเขา และภรรยาของเขาและลูกชาย และขณะนี้พวกเขาอยู่ที่นี่เช้านี้) คิดเสมอว่า โรงงานเนยแข็งจะคล้ายๆ ที่ผมเคยอยู่ โอ้, แบบว่าเลอะเทอะสกปรก ผมสามารถพูดสิ่งหนึ่งได้ที่คุณสามารถแน่ใจ มั่นใจว่า สถานที่ไม่สกปรก นั่นคือสถานที่ๆ สะอาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงงาน และผมไม่ทราบ ผมคิดว่า โอ้ พวกเขาอาจจะทำเนยแข็งเป็นร้อยปอนด์ต่อวัน และพวกเขาทำหกตันในแต่ละวัน! และโรงงานอีกสามแห่งกำลังจะเกิดขึ้น ผมคิดว่า “โอ้ ใครกินชีสเหล่านั้นทั้งหมด” แต่กระนั้นพระเจ้าทรงอวยพรแก่ชายผู้นี้และได้มีสิทธิ์พิเศษที่อยู่ในบ้านของเขา บ้านที่น่ารักมาก และภรรยาผู้รับใช้ที่ดี และไม่มีเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ในแต่ละวันขณะที่พวกเขากำลังทำอยู่ ได้พบกับลูกชายของเขาและพวกเขาเป็นเด็กดีมาก พวกเราปลื้มปิติมากสำหรับการสามัคคีธรรมที่พวกเรามีกันและกัน

ได้พบกับอดีตศิษยาภิบาลของพวกเขาซึ่งเป็นคนที่ผมรู้จัก บราเดอร์เกอร์ลี่ย์ เป็นคนที่ดีมากของความเชื่อยูไนเต็ดเพนเทคอสต์ที่ผมได้พบหลายปีที่ผ่านมา-เมืองโจนส์โบโร, รัฐอาร์คันซอ และผมไม่ทราบว่าพวกเขาอยู่... ที่เป็นศิษยาภิบาลของเขาด้วย

ตอนนี้จำได้ไหมครับว่า การประชุมตอนเย็นนี้และจากนั้นนํ้าพระทัยพระเจ้า วันอาทิตย์หน้าถัดไปพวกเราหวังว่าจะเทศนาอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมคิดว่าวันอาทิตย์ต่อไปนั้นผมต้องไปที่เมืองชิคาโก แล้วผมจะจากไปสักพักหนึ่ง ต้องพาครอบครัวกลับบ้านกลับไปยังรัฐแอริโซน่าเพื่อให้พวกเขา ... พวกเด็กๆ สามารถลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งแล้วพวกเราจะเลิกการอภิบาล การประชุมของเขาขึ้น ดังนั้นพวกเราจึงมีความปลื้มปิติแก่บราเดอร์เนวิลล์สำหรับการต้อนรับของเขา คุณทราบไหมว่า ผมได้รับเชิญและเขา ... มาก ผมชอบบราเดอร์ ... คนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีเพียงความเป็นคริสเตียนแท้ ผมชอบอย่างนั้น

ตอนนี้พวกเรากำลังจะอ่านบางส่วนของข้อพระคัมภีร์จากนั้นผ่านการแสดงความคิดเห็นและผมไม่ทราบว่าเวลาใดที่พวกเราจะเสร็จจากคำเทศนาที่ยาวเหล่านี้ แต่ผมคิดว่า ... ผมได้พูดคุยในวันอื่นๆ เกี่ยวกับการเทศนาที่นานมากและบางคนกล่าวว่า “ดีล่ะตอนนี้ถ้าคุณเพียงแค่เทศนาไม่กี่นาทีและคุณเทศนาในแนวของความลํ้าลึก อย่างไรก็ตาม พวกเราจะไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้เลย” กล่าวว่า “เพียงแค่เทศนาต่อไปและหลังจากสักครู่หนึ่งมันขึ้นมา” เขากล่าว ... ดังนั้นบางทีพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเราทำอย่างนั้น

ให้พวกเราก้มลงอีกครั้งหนึ่ง 

พระบิดา พระวจนะของพระองค์ทรงวางเปิดบนธรรมาสน์และตระหนักว่าสักวันหนึ่งมันจะถูกปิดสำหรับครั้งสุดท้ายของมัน จากนั้นพระวจนะจะเป็นเนื้อหนัง และดังนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายปลึ้มปิติสำหรับเวลานี้เช้าวันนี้และขอทรงเปิดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เนื้อหาของพระวจนะนี้ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอ่าน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้สิ่งต่างๆ ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายควรจะรู้และในทางกลับกันข้าพระองค์ทั้งหลายอาจจะฟังทุกถ้อยคำอย่างจดจ่อ ชั่งนํ้าหนักอย่างลํ้าลึกและจากนั้นขอให้ผู้ที่กำลังฟังโดยทางเทปที่พวกเขาอาจจะฟังอย่างตั้งใจ และข้าพระองค์ทั้งหลายอาจจะสามารถจับสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพยายามที่จะเปิดเผยให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายตระหนักดีว่า ถ้าพระองค์จะทรงเจิมข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วการเจิมไม่เปล่าประโยชน์ เพื่อพระประสงค์ที่มันอาจจะใช้การได้สำหรับผู้ที่ดีแด่พระเจ้า และขอให้จิตใจของข้าพระองค์ทั้งหลายและความเข้าใจของข้าพระองค์ทั้งหลายจะถูกเปิดออกเถิด พระบิดา

ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีเสรีภาพในการเทศนาและเสรีภาพในการฟังและการเข้าถึงความเชื่อที่จะเชื่อในสิ่งที่ข้าพระองค์ทั้งหลายเคยได้ยินโดยที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าว่า มันอาจนับขึ้นอยู่กับข้าพระองค์ทั้งหลายชีวิตนิรันดร์ในวันที่ยิ่งใหญ่ที่จะมาถึง ขอทรงอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลายวันนี้ กล่าวโทษข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายผิด ขอทรงแจ้งให้ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้ถึงความผิดพลาดที่ข้าพระองค์ทั้งหลายมี และขอทรงอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลายในทางที่ถูกต้องที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้รู้ทางที่จะไปและวิธีการที่จะทำหน้าที่ในโลกปัจจุบันนี้ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายอาจจะถวายเกียรติในการดำรงชีวิตของข้าพระองค์ทั้งหลายที่นี่เพื่อพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อที่จะให้ชีวิตแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลังจากนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอสิ่งนี้ในพระนามของพระเยซู อาเมน

ตอนนี้ผมอยากจะอ่านเพียงแค่สองที่จากข้อพระคัมภีร์เช้านี้ และหนึ่งในข้อนั้นถูกพบเพียงในหนังสือพระธรรมอพยพ จริงๆ แล้วข้อพระคัมภีร์ทั้งสองไม่ได้มาจากพระธรรมอพยพหนึ่งบท ในบทที่ 13, ข้อ 21 และ 22 และต่อไปคือบทที่ 14 ข้อ 10, 11 และ 12 ตอนนี้ผมจะอ่านจากพระธรรมอพยพ บทที่ 13 ข้อ 21

และพระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ ละในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้พวกเขามีแสงสว่างเพื่อจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

พระองค์ไม่ได้ทรงให้เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนคลาดไปจากเบื้องหน้าประชากรเลย

ตอนนี้ในพระธรรมอพยพ บทที่ 14 ข้อ 10

และเมื่อฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ ชนชาติอิสราเอลเห็นชาวอียิปต์ยกติดตามมา พวกเขาก็หวาดกลัวยิ่งนัก จึงร้องทูลพระยาห์เวห์

พวกเขาบอกโมเสสว่า “หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ? ท่านจึงพาพวกเราออกมาตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมท่านจึงทำกับเราเช่นนี้คือพาพวกเราออกมาจากอียิปต์?

เราบอกท่านในอียิปต์แล้วไม่ใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้คนอียิปต์เถิด เพราะการทำเช่นนั้นก็ยังดีกว่ามาตายในถิ่นทุรกันดาร

ผมกำลังจะอ่านอีกสองสามข้อ

และโมเสสกล่าวกับประชากรว่า “อย่ากลัวเลย...[ตอนนี้ฟังชัดๆที่นี่]... โมเสสกล่าวกับประชากรว่า อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อ ... พวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้ พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป

พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด

...พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา? จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินต่อไปข้างหน้าเถิด

ส่วนเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเลและทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้

ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจคนอียิปต์กระด้างและตามพวกเขามา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ กองกำลัง รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา

เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ รถรบ และพลม้าของเขาแล้ว คนอียิปต์ก็จะรู้ว่า เรานี่แหละคือยาห์เวห์

และทูตของพระเจ้าซึ่งนำหน้าทัพอิสราเอลก็กลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขา

คือมาอยู่ระหว่างทัพอียิปต์และทัพอิสราเอล มีเมฆและความมืดกั้น เวลากลางคืนก็ผ่านไปโดยทั้งสองฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้กันตลอดคืน

โมเสสยื่นมือออกเหนือทะเล และพระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมไล่นํ้าทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง และนํ้าแยกออกจากกัน

ชนชาติอิสราเอลก็เดินผ่านกลางทะเลบนดินแห้ง ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย

คนอียิปต์ก็ไล่ตามพวกเขาเข้าไปกลางทะเล ทั้งม้าและรถรบและพลม้าทั้งสิ้นของฟาโรห์

เวลาเช้ามืดพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรลงมาจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นทัพอียิปต์ ก็ทรงบันดาลให้ทัพอียิปต์เกิดโกลาหล

พระองค์ทรงทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้พวกเราหนีไปจากหน้าคนอิสราเอลเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์แทนพวกเขา”

พระวจนะของพระเจ้าดียอดเยี่ยม ไม่มีทางที่จะหยุดอ่านได้ มันกลายเป็นชีวิตเมื่อเราอ่านมัน ผมคิดว่าในข้อความนี้ในเช้าวันนี้แม้ว่ามันจะถูกบันทึกเทปผมต้องการที่จะพูดแบบนี้ในการเริ่มต้น: พบ ... ผมพบตัวเอง ... และเหตุผลที่ผม ... เมื่อวานนี้ขณะที่อยู่ในการศึกษาและผมมาถึงเรื่องนี้ และจากนั้นผมคิดว่า “ผมแค่ไปถ้าเป็นนํ้าพระทัยพระเจ้าที่จะเทศนาที่นั่นเพราะมันทำให้ผมรู้สึกแย่” และผมคาดว่ามันทำให้พวกเราทุกคนแย่ลงที่พวกเราอาจจะเห็น และทำให้พวกเราค้นหา และศึกษาเล็กๆ น้อยๆ ในการเปรียบเทียบวันที่ผ่านมาแล้วจนถึงวันที่อยู่ในขณะนี้

ผมอยากจะใช้คำสามคำสำหรับข้อความและนั่นคือ ร้องทำไม? จงสั่ง! พระเจ้าตรัสกับโมเสสที่นี่ในข้อ 15 ว่า “ทำไมเจ้าร้องไห้กับเรา? จงสั่งประชาชนให้พวกเขามุ่งไปข้างหน้า” และร้องทำไม? จงสั่ง!

ตอนนี้พวกเรามีเรื่องๆ หนึ่งแล้ว และผมจะพยายามรีบผ่านอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้เท่าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ผมอยากจะคิดว่า ... ของข้อความของโมเสสนี้ที่ร้องไห้ออกมากับพระเจ้าในเวลายากลำบากและพระเจ้าทรงกระหนาบโมเสสกลับทันทีเมื่อปัญหาอยู่ในเวลานั้น และมันเป็นเพียงธรรมชาติที่คล้ายกับคนที่จะร้องไห้ออกมาและแล้วสิ่งที่กระหนาบมันเป็นพระเจ้าที่ทรงจะหันไปรอบๆ และกระหนาบเขาบอกว่ามัน สำหรับร้องไห้ออกไปยังพระองค์ ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมาก

หลายครั้งเมื่อพวกเรามองไปที่ข้อพระคัมภีร์ในทางของพวกเราเองมันมองดูเหมือนยากมาก แต่ถ้าพวกเราศึกษาสักครู่หนึ่งพวกเราจะพบว่า พระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณทรงสัพพัญ?ูในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และพระองค์ทรงรู้วิธีที่จะทรงกระทำสิ่งเหล่านี้และวิธีการจัดการกับพวกผู้คน พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งใดที่อยู่ในมนุษย์ พระองค์ทรงรู้จักมัน พวกเราไม่ พวกเรารู้ทางด้านปัญญาเท่านั้น พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งใดจริงๆ ที่อยู่ในมนุษย์

โมเสสเกิดมาในโลกนี้เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้เผยพระวจนะ, ผู้ช่วยให้รอดพ้น เขาเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่เกิดในตัวเขา เหมือนกับคนทุกคนที่เข้ามาในโลกที่เกิดมาพร้อมกับอุปกรณ์นี้ ในฐานะที่ผมเชื่อมั่นในการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า, การทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า- 

ไม่ใช่นํ้าพระทัยพระเจ้าที่จะทรงให้ใครพินาศ แต่ทั้งหมดอาจจะมาเพื่อกลับใจ-แต่ด้วยการทรงเป็นพระเจ้า พระองค์จะต้องทรงรู้ก่อนและทรงรู้จุดจบจากจุดเริ่มต้น เห็นไหมครับ? ถ้าพระองค์ไม่ทรงสัพพัญญูแล้วพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระนิรันดร์ และถ้าหากพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระนิรันดร์แล้วพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่ใช่นํ้าพระทัยพระองค์อย่างแน่นอนที่จะให้ผู้ใดพินาศเลย นอกจากนั้นพระองค์ทรงรู้ว่าใครจะพินาศและใครจะไม่พินาศ

นั่นเป็นเหตุผล-พระประสงค์อันแท้จริงที่พระเยซูได้เสด็จมาบนโลกนี้เพื่อช่วยพวกเขาเหล่านั้นผู้ที่พระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าว่าเป็นผู้ที่อยากจะได้รับความรอดให้ได้รับความรอด เพราะว่าทั้งโลกได้ถูกพิพากษา และผมไม่เห็นว่าพวกเราสามารถสอนโดยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การรู้ล่วงหน้าของพระเจ้าได้ และพระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงรู้ว่าจุดจบจากจุดเริ่มต้นและทรงสามารถบอกมันได้ ดังนั้นเมื่อมีคนพยายามที่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่ได้เป็น พวกเขาเพียงกำลังทำการลอกเลียนแบบและไม่ช้าก็เร็วมันจะพบพวกคุณ บาปของพวกคุณจะพบพวกคุณ พวกคุณไม่สามารถปลกคลุมพวกมันได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ปกคลุมความบาปได้ นั่นคือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์และมันไม่สามารถถูกประพรมได้เว้นแต่พระเจ้าได้ทรงเรียกคุณจากการวางรากฐานของโลก

นั่นคือเหตุผลที่พระโลหิตได้หลั่งออกมา-มิใช่เพื่อจะถูกเหยียบยํ่าและถูกทำให้เป็นตัวตลกและถูกทิ่มแทงและถูกพูดจาว่าร้ายและอื่นๆ มันเป็นเพื่อวัตถุประสงค์โดยตรง นั่นถูกต้องครับ ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ใช่ที่จะปลอมตัวโดยบอกว่า บาปถูกปกคลุมไปเมื่อพวกเขาไม่ได้และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมีบาปของเขาถูกปกคลุมได้ เกรงว่าชื่อของเขาถูกวางลงบนหนังสือของพระเมษโปดกแห่งชีวิตก่อนการวางรากฐานของโลก พระเยซูตรัสด้วยพระองค์เองว่า “ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้ยกเว้นพระบิดาของเราทรงนำเขา และทุกสิ่งที่พระบิดาได้ทรง (อดีต) ประทานแก่เราจะมาหาเรา” ดังนั้นพวกคุณจึงไม่สามารถทำให้พระวจนะโกหกได้ พวกเขาอยู่ที่นั่นเพื่อความจริงและเพื่อการแก้ไข

และโมเสสเกิดมาพร้อมกับของประทานความเชื่อ ความเชื่ออันยิ่งใหญ่ที่โมเสสมี พวกเราเห็นมันหลังจากชั่วขณะหนึ่งที่ออกมาในตัวเขา และเขาเกิดในครอบครัวที่ดีที่เรารู้ว่าคุณพ่อและคุณแม่ของเขามาจากครอบครัวผู้รับใช้พระเจ้า ซึ่งเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่นี่ในหนังสือพระธรรมอพยพ เพื่อให้ชีวิตของตัวละครที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างสวยงาม และเขาก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระคัมภีร์ไบเบิล สำหรับเขาเป็นแบบอย่างที่เคร่งครัดของพระเยซูเจ้า

เขาเกิดมาในการกำเนิดที่แปลกมากคล้ายกับพระเยซูเจ้า เขาเกิดในช่วงเวลาของการประหัตประหารเหมือนพระเยซูเจ้า เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ช่วยให้รอดเหมือนพระเยซูเจ้า เขาถูกซ่อนตัวจากบิดาคุณแม่ของเขาห่างออกไปจากศัตรูเหมือนพระเยซูเจ้า และเขาก็มาถึงเวลาของเขาในการรับใช้เหมือนกับพระเยซูเจ้า เขาเป็นผู้นำเหมือนพระเยซูเจ้า เขาเป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนพระเยซูเจ้า และเขาก็เป็นนักบัญญัติกฎหมายเหมือนพระเยซูเจ้า

และพวกเราพบว่าเขาเสียชีวิตบนโขดหินและเขาจะต้องฟื้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งและทุกสิ่งทุกอย่าง ... เพราะว่าแปดร้อยปีต่อมาเขาได้ยืนอยู่บนภูเขาจำแลงพระกาย สนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า ดูเถิดครับ พวกทูตสวรรค์บรรจุเขาออกไป ไม่มีใครรู้ว่าที่เขาถูกฝังอยู่ที่ไหน แม้พวกมารก็ไม่รู้สิ่งนั้น จริงๆ แล้วผมไม่เชื่อว่าเขาเคยถูกฝังเลย ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงบรรจุเขาออกไปและเขาก็ตายอยู่บนโขดหินที่เขาได้ใช้ทุกวันของชีวิตของเขา และเขาก็เป็นชนิดที่สมบูรณ์แบบของพระคริสต์ เขาเป็นกษัตริย์เหนือประชาชน เขาเป็นนักบัญญัติกฎหมาย เขาเป็นผู้คํ้าจุนให้กับประชาชน เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในประเภทที่พระคริสต์ทรงเป็น

ตอนนี้ดังนั้นเห็นไหมว่า เขาเกิดมาพร้อมกับของประทานอันยิ่งใหญ่และคุณภาพในตัวของเขา จากนั้นมันเพียงได้นำบางสิ่งบางอย่างที่จะข้ามอย่างรวดเร็วที่จะนำสิ่งนั้นมาสู่ชีวิต ดูเถิดครับ เมล็ดพืชของพระเจ้าที่ถูกวางอยู่ในพวกเราจากรากฐานของโลกจริงๆ และเมื่อแสงสว่างนั้นส่องที่เมล็ดพืชนั้นครั้งแรก มันนำเมล็ดพืชนั้นมาสู่ชีวิต แต่ครั้งแรก แสงสว่างจะต้องส่องที่เมล็ดพืช

เหมือนที่ผมได้เทศนาหลายครั้งถึงเรื่องผู้หญิงที่บ่อนํ้าของนางในเงื่อนไขนั้น แม้ว่านางจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ดี นอกจากนั้นชีวิตของนางได้เสื่อมโทรมลงและนางอยู่ในสภาพนั้นเพราะประเพณีต่างๆ ที่ไม่เคยสัมผัสนาง แต่กระนั้นเมื่อแสงสว่างแรกที่ได้ส่องนาง นางได้ยอมรับมันอย่างรวดเร็วเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่นั่นที่จะตอบสนองต่อมัน

เมื่อส่วนที่ลึกร้องเรียกส่วนที่ลึก ต้องมีส่วนที่ลึกบางแห่งที่จะตอบสนองต่อการเรียกร้องนั้น และโมเสสได้กำเนิดเป็นผู้เผยพระวจนะนี้ แต่เขาได้รับการเลี้ยงดูในโรงเรียนแห่งปรัชญาในพระราชวังของฟาโรห์ ฟาโรห์เซทิ ผู้ที่เขาถูกเลี้ยงดูภายใต้เป็นผู้ที่ยังคงทรงให้เกียรติและทรงเชื่อว่าโยเซฟเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า แต่มีฟาโรห์รามเสสมาหลังจากฟาโรห์เซทิ และฟาโรห์รามเสสมิได้ทรงสนพระทัยโยเซฟ และดังนั้นเมื่อปัญหาได้เริ่มต้นขึ้นตอนนี้-เมื่อมีการเลี้ยงดูฟาโรห์ที่มิได้ทรงรู้จักโยเซฟ

นอกจากนั้นคุณภาพอันยอดเยี่ยมเหล่านี้-ให้พวกเราพูดถึงพวกมันเพียงสักครู่หนึ่งก่อนที่พวกเราจะไปยังส่วนหลักของข้อความ ผมมีวิธีที่แปลกของการตั้งค่าข้อความและจากนั้นด้วยการสร้างไปยังมัน และขอพระเจ้าทรงช่วยพวกเราในเช้าวันนี้ขณะที่พวกเราสร้างไปยังมัน

โมเสสได้ถือกำเนิดมาพร้อมกับของประทานอันยิ่งใหญ่แห่งความเชื่อ จากนั้นเขาได้รับการเจิมและได้รับการแต่งตั้งที่พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟที่จะปลดปล่อยของพระเจ้า ตอนนี้เห็นพวกคุณภาพอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ชายคนนี้มีไหมครับ! เขาเกิดมาเพื่อสิ่งๆ หนึ่งอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในเรื่องนั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ของการที่คุณอยู่ที่นี่ ถ้าหากคุณเพียงสามารถ...ไปยังสถานที่นั้น ปัญหามากเท่าไหร่ที่คุณได้ช่วยพระเจ้าและตัวของคุณเองด้วย

โมเสสเกิดมา (และจากนั้นเขาก็อยู่) หลังจากนั้นเขาถูกนำไปยังสถานที่ซึ่งเขาได้รับการเจิม และสังเกตไหมครับว่า เมล็ดพืชวางอยู่ที่นั่นด้วยความคิดทางปัญญากับความเชื่อทั้งหมดที่ว่า เขาเกิดมาเพื่อปลดปล่อยประชาชนเหล่านี้ และยังไม่เคยเข้ามาในชีวิตจนกระทั่งแสงไฟจากพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟได้จุดประกายข้ามมัน จนกว่าเขาได้เห็น ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เขาอ่าน แต่เขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างด้วยตาของเขา บางสิ่งบางอย่างที่พูดกับเขา และเขาพูดกลับไป โอ้วิธีการที่นำสิ่งต่างๆ มาสู่ชีวิต

ผมคิดว่าผู้ชายคนไหนกับ ...หรือผู้หญิง, เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง และผมคิดว่าในความคิดทางปัญญาของสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพระวจนะทรงเป็นและอื่นๆ ไม่สามารถมีรากฐานสมบูรณ์ตั้งอยู่จนกว่าพวกเขาได้พบกับแสงสว่างนั้นที่ว่านำพระวจนะมาสู่ความเป็นจริง ผมคิดว่าไม่มีคริสตจักรในการปฏิบัติของตน ไม่ว่าทางปัญญาและพื้นฐานจะเป็นอย่างไร คริสตจักรที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีจนกระทั่งสิ่งที่เหนือธรรมชาติจะทำให้เป็นที่รู้จักในพวกผู้คนนั้น และพวกเขาเห็นมันบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาสามารถพูดคุยกันได้ ที่จะพูดคุยกลับไปยังพวกเขาที่พิสูจน์พระวจนะที่ถูกจารึกไว้นี้

ตอนนี้จำได้ไหมครับว่า เมื่อโมเสสได้พบพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟนี้ที่พระวจนะได้ทรง-พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน มันเป็นพระวจนะ โมเสสไม่ต้องกังวล “อะไรที่เกี่ยวกับเสียงนี้ทั้งหมด? อะไรคือสิ่งนี้ที่นี่?” เพราะพระเจ้าได้ทรงเขียนไว้แล้วในข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมปฐมกาลว่า “ประชาชนของเจ้าจะอาศัยอยู่ในดินแดนแปลกประหลาดนี้ แต่พวกเขาจะถูกนำกลับไปหลังจากสี่ร้อยปีจะกลับเข้ามาในประเทศนี้อีกครั้งหนึ่ง สำหรับความชั่วช้าของพวกอาโมไรต์ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม”

ตอนนี้หลายร้อยปีก่อนที่พระเจ้าได้ทรงกล่าวว่าพวกอิสราเอลจะอาศัยอยู่และถูกทารุณในประเทศที่แปลกประหลาดและจะอยู่ที่นั่นสี่ร้อยปี แต่พระเจ้าด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์จะทรงนำพวกเขาออกมา ดังนั้นคุณเห็น พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟนี้ โมเสสรู้ด้วยสติปัญญานี้และเมล็ดพืชที่ได้กำเนิดในตัวเขากำลังถูกวางในจิตใจของเขา และเขาพยายามโดยประสบการณ์ทางปัญญาของเขากับพระวจนะเพื่อพยายามที่จะนำพวกเขาออกมา เพื่อปลดปล่อยพวกเขา เพราะเขารู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์นั้น เขารู้ว่าเวลาที่ข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดกล่าวว่า พวกเขาต้องได้อยู่ที่นั่นสี่ร้อยปี

เช่นเดียวกับที่พวกเรารู้ตอนนี้ เมื่อชายคนหนึ่งที่ได้ถามผมสักครู่หนึ่งที่ผ่านมาเกี่ยวกับการเสด็จมาและการถูกรับขึ้นไป พวกเรารู้ว่าพวกเราเคยมีชีวิตอยู่เวลาหมด ช่วงเวลาแห่งการถูกรับขึ้นไปที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และพวกเรากำลังมองหาความเชื่อการถูกรับขึ้นไปที่สามารถดึงคริสตจักรต่างๆ ร่วมกันและให้มันบางกำลังที่เหนือธรรมชาติที่สามารถเปลี่ยนร่างกายเหล่านี้ที่เราอาศัยอยู่ เมื่อพวกเราเห็นพระเจ้าผู้ทรงสามารถฟื้นคนตายจากพื้น หรือออกไปในสวน และนำเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งและสำแดงเขาก่อนพวกเรา เมื่อพวกเราเห็นพระเจ้าผู้ทรงสามารถนำมะเร็งที่กินคนที่เป็นเงาและทรงฟื้นเขาขึ้นมาให้เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ที่ควรจะให้ความเชื่อการถูกรับขึ้นไปกับประชาชนว่า เมื่อแสงกะพริบจากท้องฟ้าและเสียงแตรดัง พระกายของพระคริสต์จะถูกรวบรวมได้อย่างรวดเร็วเข้าด้วยกันและถูกเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหนึ่งและถูกนำไปยังสวรรค์

ใช่ครับ ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้น และเหล่าโรงเรียนศาสนศาสตร์ของพวกเรายังไม่สามารถผลิตสิ่งนั้นได้ ความรู้ทางปัญญาเขาถูกต้องทั้งหมด แต่ต้องได้พบกับแสงสว่างนั้น! พวกคุณต้องได้ค้นหาบางสิ่งบางอย่างนั้น

และนี่คือ โมเสสบนรากฐานของการทรงเรียกอันยิ่งใหญ่บนพระวจนะ (และมันก็ยิ่งใหญ่) จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับแสงสว่างนี้ และพระวาทะพระองค์เองได้ตรัสกลับไปยังเขา จากนั้นเขาได้รับการเจิมของเขา ที่ได้เจิมสิ่งที่เขามีในตัวเขาที่อยู่ภายใน ภูมิปัญญาที่เชื่อมัน ความเชื่อที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อในพระเจ้าของเขาว่าเขาถูกแยกออกจากคุณแม่ของเขา และตอนนี้เมื่อเขาปะทะในการปรากฏตัวของแสงนี้ก็ได้รับการเจิมไว้ว่าเขาเชื่อแล้ว ดูเถิดครับ

ช่างเป็นการเจิม และเขาได้รับพระบัญชา ตอนนี้พวกเรารู้ด้วยสติปัญญาว่าเขาเคยได้ยินคุณแม่ของเขา เขารู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและเขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ในวันนั้น แต่ที่นี่เขาพบว่าเขาเป็นคนล้มเหลว ดังนั้นเขาอาจจะได้ ... ความเชื่อของเขาอาจจะลดถอยลงกลับไปบ้างเล็กน้อย แต่แล้วเมื่อเขามาถึงพุ่มไม้นี้ พระเจ้าตรัสว่า “เราได้ยินเสียงร้องของประชาชนของเราและเราจำพระสัญญาของเรากับบรรพบุรุษของพวกเขาคือ อับราฮัม, อิสอัค และยาโคบได้ และเราจึงได้ลงมา”

เรา นั่นเป็นสรรพนามส่วนบุคคล “เราได้ลงมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขา” 

และตอนนี้ และผมอาจจะเพียงแค่เพิ่มสิ่งนี้ถ้าหากมัน... พระเจ้าขอทรงยกโทษให้อภัยข้าพระองค์ถ้าหากมันฟังดูร้ายกาจ “เราไม่ได้ทำงานบนโลกโดยผ่านเพียงพวกมนุษย์เท่านั้น เราเป็นเถาองุ่น เจ้าทั้งหลายเป็นแขนง และเราเท่านั้นที่ประกาศตัวเองเมื่อเราสามารถพบคนๆ หนึ่งและเราได้เลือกเจ้าและเราส่งเจ้าลงไปนำพวกเขาออกมา“ เห็นไหมครับ? ตอนนี้สังเกตไหมครับว่า “เราจะอยู่กับปากของเจ้าและเรา...เจ้าจงใช้ไม้เท้านี้”

และโมเสสจึงกล่าวว่า “ข้าพระองค์สามารถเห็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระองค์จะทรงส่งข้าพระองค์ไปและพระองค์ได้ทรงเจิมข้าพระองค์และพระองค์ทรงกำลังจะกระทำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?”

ตรัสว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า?”

เขาทูลว่า “ไม้เท้า”

ตรัสว่า “จงโยนไม้เท้าลงบนพื้น” -มันก็กลายเป็นงู โมเสสจึงวิ่งหลบงูนั้น

พระองค์ตรัสว่า “จงหยิบมันขึ้นมา” -มันกลับกลายเป็นไม้เท้า ตรัสว่า “จงใส่มือของเจ้าในอกของเจ้า” -แล้วนำมันออกมา และมันก็เป็นโรคเรื้อน นำมันกลับไปและมันก็หายโรค 

ดังนั้นเขาจึงเห็นพระสิริของพระเจ้า

ไม่มีคำถามอีกแล้วสำหรับโมเสส พวกคุณเคยสังเกตเห็นไหมว่า เขาไม่เคยกลับไปถิ่นทุรกันดารอีกเลย? เขารู้ว่าเขาได้รับการเจิม เขารู้ว่าที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้อยู่ในจิตใจของเขาแล้ว พวกคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากเหล่านี้และพวกเขาได้รับการเจิมแล้ว ตอนนี้เขาพร้อม เขาพร้อมที่จะไป ดังนั้นเขาจึงลงไปที่อียิปต์ พระเจ้าได้ทรงกล่าวว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” เพื่อให้มันเสร็จสิ้น ถ้า “เราจะอยู่กับเจ้า” นั่นคือทั้งหมดที่โมเสสต้องรู้สำหรับการทรงเรียกอันยิ่งใหญ่นี้ในจิตใจของเขา และตอนนี้พระเจ้าตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า”

ทีนี้พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงคำกล่าวอ้างของโมเสส โมเสสอ้างว่า “เราได้พบพระเจ้า” และพระองค์ตรัสว่า “จงบอกพวกเขาว่า พระองค์ผู้ทรงมีพระนามว่า เราเป็น ทรงส่งข้าพเจ้ามา” เห็นไหมครับ?

ตอนนี้พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นผู้ชายชาวยิวอีกคนหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นคนบางคนของลัทธิเหล่านี้ที่ได้อยู่มาตลอดเวลากับทุกชนิดของแบบแผนทั้งหมดที่จะนำพวกเราออกจากพันธนาการ” และพวกคุณรู้ไหมว่า พวกคนทั้งหลายเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาเป็นทาสหรืออยู่ในพันธนาการเพื่อบางสิ่งบางอย่าง มีกลไกบางชนิดมารอบๆ เสมอ พวกคุณรู้ไหมครับ เพื่อจะทำมันได้ ดังนั้นโมเสส พระเจ้าได้ทรงสัญญากับโมเสสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า เราจะอยู่ในเจ้า ถ้อยคำของเราจะเป็นถ้อยคำของเจ้า เจ้าจงพูดถ้อยคำของเรา และจงพูดในสิ่งที่เราพูด”

และตอนนี้เมื่อโมเสสได้ลงไปและให้การทรงเรียกนี้แก่พวกเขาและยืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์และบอกเขาว่า พระเจ้าของคนฮีบรูกล่าวว่า “จงนำประชาชนออกมา” และเขาจะไม่ปล่อยให้พวกเขาไป ดังนั้นเขาจึงได้สำแดงหมายสำคัญหนึ่งต่อหน้าพวกผู้อาวุโสและต่อหน้าฟาโรห์และหมายสำคัญต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ

เขากล่าวว่า “ตอนนี้ในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ดวงอาทิตย์จะตกดิน มันจะเป็นความมืดทั่วอียิปต์” และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ และจากนั้นเขากล่าวว่า “จะมีฝูงเหลือบมาบนแผ่นดิน” และเขาก็ชูไม้เท้าของเขาและเรียกฝูงเหลือบและฝูงเหลือบก็มา และเขาได้พยากรณ์และทุกอย่างที่เขาพยากรณ์ได้เกิดขึ้นอย่างนั้น... นั่นทรงเป็นพระเจ้า ดูเถิดครับ

พระเจ้าได้ทรงเรียกเขามาตั้งแต่การกำเนิดของเขา ประทานคุณภาพต่างๆ ในตัวเขาด้วยความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และจากนั้นเสด็จลงมาพร้อมกับการทรงสถิตย์ของพระองค์และได้ทรงเจิมบางสิ่งบางอย่างที่ยอดเยี่ยมในตัวเขา และได้ทรงส่งเขาลงมากับถ้อยคำของพระองค์ และเขาได้รับการพิสูจน์ให้เห็นถึงคำกล่าวอ้างของเขา ไม่ว่าจะมีคำหลอกลวงกี่คำที่ได้ถูกยกขึ้นมา สิ่งอื่นๆ เหล่านี้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วกี่อย่างก็ตาม พระเจ้าทรงกำลังตรัสและโมเสสได้รับการพิสูจน์แล้ว โมเสส... สิ่งที่โมเสสได้กล่าว พระเจ้าได้ทรงให้เกียรติ! ผมอยากจะให้พวกคุณไม่ลืมพระวจนะนั้น สิ่งที่โมเสสได้กล่าว พระเจ้าได้ทรงให้เกียรติ เพราะพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในโมเสส “เราจะอยู่กับปากของเจ้า มันจะพูดสิ่งที่ถูกต้อง”

ตอนนี้ สิ่งที่พระเจ้าตรัส พระองค์ทรงกล่าวมันผ่านโมเสส และมันได้ยืนยันและได้พิสูจน์คำกล่าวอ้างของเขา

นอกจากนี้เขายังได้รับการบอกเล่าจากมารดาของเขาถึงการกำเนิดอันลึกลับของเขาและเวลาใกล้แค่เอื้อมที่ใกล้มาถึงเวลาที่จะมีการปลดปล่อยอย่างไร อัมรามและโยเคเบด ลูกชายและลูกสาวของเผ่าเลวี เริ่มอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าที่จะทรงส่งพระผู้ช่วย และมันใช้... เมื่อพวกคุณดูเวลาของพระสัญญาที่ใกล้เข้ามาแล้ว มันกำหนดให้พวกคนทั้งหลายอธิษฐานและหิวกระหาย และไม่สงสัยว่า โยเคเบดได้บอกเขาหลายครั้ง (มารดาของเขา นางเป็นครูสอนพิเศษของเขาด้วยเท่าที่พวกเรารู้เรื่องนี้) และได้บอกเขาว่านางได้อธิษฐานไว้อย่างไร “และโมเสส เมื่อเจ้าเกิดมา, ลูกชาย เจ้าเป็นเด็กพิเศษ เจ้าแตกต่าง มีบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นที่การกำเนิดของเจ้า”

“ผมได้ยกละครเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับมันสำหรับพวกเด็กๆ เมื่อไม่นานที่ผ่านมาและกล่าวว่า ในขณะที่อัมรามอยู่ในห้องอธิษฐาน เขาเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งดึงดาบของเขาและชี้ไปทางทิศเหนือและกล่าวว่า “พวกท่านจะมีบุตร และเขาจะพาประชาชนขึ้นไปทางเหนือไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา” การยกละครขึ้นมาสำหรับพวกเด็กๆ ก็เพื่อให้พวกเขาเข้าใจมัน ภูมิปัญญาของพวกเขายังมาไม่ถึงที่ๆ พวกผู้ใหญ่อย่างพวกคุณที่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยสำแดงให้กับพวกคุณได่

ตอนนี้แม้ว่ามารดาของเขาได้บอกเขาถึงสิ่งเหล่านี้และเขาได้รับรู้สิ่งนี้ เขาก็ยังต้องการสัมผัสอื่นๆ การสอนก็ดี แต่เขาจำเป็นต้องมีการติดต่อส่วนบุคคล

นั่นเป็นสิ่งที่โลกต้องการในปัจจุบันนี้ นั่นคือสิ่งที่คริสตจักรต้องการในปัจจุบันนี้ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ซึ่งในฐานะที่เป็นบรรดาบุตราและบุตรีของพระเจ้า เพื่อที่จะเป็นอย่างนั้น พวกคุณต้องมีการติดต่อส่วนบุคคล ดูเถิดครับ? บางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่า... พวกคุณรู้ว่าพระวจนะทรงเป็นจริงอย่างไรก็ตาม พวกคุณรู้ว่าทรงเป็นจริง แต่จากนั้นเมื่อมันติดต่อและแล้วพวกคุณเห็นสิ่งที่กระทำสำเร็จแล้ว ดังนั้นพวกคุณรู้ว่าพวกคุณอยู่บนถนนที่ถูกต้อง ดูเถิดครับ? และจงจับตาดู มันจะเป็นข้อพระคัมภีร์เสมอ มันจะยืนยันกับข้อพระคัมภีร์เพราะสิ่งนี้ได้กระทำแล้ว

คำอธิษฐานของอัมรามตรงกับข้อพระคัมภีร์อย่างแน่นอน คำอธิษฐานของพวกเขาอยู่กับพระสัญญา พระเจ้าทรงสัญญาในเวลานั้นที่จะทรงกระทำมัน พวกเขาได้อธิษฐานเพื่อสิ่งนั้นและนี่เด็กพิเศษก็ได้เกิดมา และพวกเขา...

จงจับตาดู! โอ้ ผมช่างรักสิ่งนี้ ดูเถิดครับ! ณ เวลานั้นที่ฟาโรห์กำลังปลิดชีวิตพวกเด็กๆ ทุกคน เห็นไหมครับ? แทงพวกเขาด้วยดาบของพวกทหาร พวกเขาแทงพวกเด็กเล็กๆ เหล่านี้ถึงแก่ความตาย นำพวกเขาไปเป็นอาหารของพวกจระเข้-พวกร่างกายเล็กๆ นี้ จนกระทั่งพวกจระเข้ก็อาจจะอ้วนพีเพราะไขมันบนร่างกายของพวกเด็กๆ ชาวฮีบรู

นอกจากนั้นพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า พวกบิดามารดามิได้กลัวคำสั่งของฟาโรห์ที่จะสังหารลูกทั้งหลาย พวกเขามิได้รู้สึกกลัวเพราะพวกเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในเด็กทารกคนนี้ที่จะเริ่มต้น พวกเขาเห็นมันว่านี่คือ คำตอบของคำอธิษฐาน

และตอนนี้โมเสสมีทั้งหมดนี้เป็นภูมิหลังเพื่อให้โมเสสได้รู้ว่าเขาถูกส่งไปเพื่อวัตถุประสงค์แน่แท้เพื่อปลดปล่อยพวกคนของอิสราเอล ดูเถิดครับ ภูมิหลังทั้งหมดกองขึ้นมา เมื่อพวกคุณได้รับสิ่งใดและสามารถนำพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “สิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้น” และนี่มันเกิดขึ้น “สิ่งนี้กำลังจะเป็น ณ เวลานั้น” นี่มันเกิดขึ้น “สิ่งนี้กำลังจะเป็น ณ เวลาที่แน่นอน” นั่นมันเกิดขึ้น จากนั้นมันทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันและวาดภาพๆ หนึ่งสำหรับพวกเรา

โอ้ คริสตจักรนี้ตอนเช้านี้เป็นอย่างไร พวกเราเป็นอย่างไร ณ เวลานี้ บราเดอร์เนวิลล์ ในขณะที่เราเห็นสีเทาปะทะบนผมของพวกเราและไหล่ของพวกเราที่ห่อลง เมื่อพวกเราเห็นโลกนี้ที่กำลังยวบยาบและกำลังแกว่งตามที่มันเป็น และพวกเราสามารถมองไปรอบๆ อย่างไร และเห็นพระสัญญาที่กำลังใกล้เข้ามา! ผมคิดว่าหลายครั้งถ้ามีบางคนสามารถตีมันกลับเข้าไปในทันทีทันใดและจะไม่เข้าใจมันหรือจะค่อนข้างเข้าใจ เข้ามาในทันทีทันใด มันเกือบจะส่งพวกคุณไปยังชีวิตนิรันดร์ด้วย... เช่นสิ่งที่ถูกรับขึ้นไปและไม่เคยรู้จักมันเลย เพียงแค่ โอ้ ก้าวผ่านสิ่งต่างๆ ที่พวกเราได้เห็นและรู้และเข้าใจและตีกลับทั้งหมดในครั้งหนึ่ง ชายหรือหญิง, เด็กชายหรือเด็กหญิงอาจจะยกมือของพวกเขาขึ้นและทูลว่า “ขอทรงให้พวกเราไปเถิด พระเยซูเจ้า” พวกคุณเห็นไหมครับ? โอ้ ณ เวลานั้นช่างอยู่ใกล้มากๆ!

โมเสสรู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์นั้น ได้มองออกไปข้างนอกหน้าต่างและเฝ้าดูพวกเขาคนฮีบรูขณะที่พวกเขากระเสือกกระสน มองกลับมาที่นี่ในข้อพระคัมภีร์นี้ และมันได้กล่าวไว้ว่า “และพวกเขาจะอาศัยอยู่สี่ร้อยปี (เห็นไหมครับ?) แต่เราจะนำพวกเขาออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์” จากนั้นเมื่อเขากลับมาจากการถูกเจิมตั้ง รู้ว่าเขาได้เกิดมาและความเชื่อของเขา มองด้วยความเชื่อเขาเห็นพวกคนทั้งหลายเหล่านั้นและรู้ว่าพวกเขาเป็นประชากรของพระเจ้าเพราะว่าพระวจนะได้กล่าวไว้ดังนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นของโลก ไม่ได้เป็นเช่นพวกที่เหลือของพวกเขา พวกเขาแตกต่าง และพวกเขาเป็นพวกคนบ้าและพวกคนคลั่งไคล้กับความเย้ายวนใจอย่างมากมายของอียิปต์ และเขาได้เป็นโอรสของฟาโรห์ที่จะปกครองราชอาณาจักรองค์ต่อไป แต่เขา...

มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวเขา ความเชื่ออันแท้จริงที่ไม่ได้มองอยู่ที่สิ่งที่เย้ายวนใจเหล่านั้นที่เขาจะได้รับมรดก เขามองที่พระสัญญาของพระเจ้าและเขารู้ว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และสิ่งที่มนุษย์ต้องคิด... ผมต้องการจะสนทนากับเขาสักวันเมื่อผมพบเขาในด้านอื่น

คุณบอกว่า “นั่นบ้า บราเดอร์ ... “

ไม่ครับ มันไม่ใช่ ผมจะไปพบเขาโดยพระคุณของพระเจ้า ใช่ครับท่าน ผมจะพูดคุยกับเขาสักวันหนึ่ง โมเสสตัวเขาเอง และผมอยากจะถามเขาเพียงแค่ว่า เมื่อเขาได้เห็นการจัดเตรียมของเขา ความสับสนเป็นอย่างไรที่พวกมารร้ายกล่าวว่า “ฮ้า พวกคนทั้งหลายจะไม่เชื่อท่าน ฮ้า ไม่มีอะไรอย่างนั้น” 

แต่เมื่อเมล็ดพืชนั้นมีชีวิตขึ้นมาที่นั่น บางสิ่งบางอย่างได้ขัดขวางเขาและเขารู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เขารู้-ได้มองไปที่นาฬิกาและเห็นว่ามันเป็นเวลาอะไร และเขารู้และเขาต้องคิดว่าอย่างไรในขณะที่เขาได้จับตาดู

ตอนนี้เมื่อเขาได้สิ่งทั้งหมดนี้ด้วยกัน สิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ที่เขาได้เห็น-เวลาของข้อพระคัมภีร์ คำอธิษฐานของบิดาและมารดาของเขาและเขาก็เกิดมาด้วยการกำเนิดแบบพิเศษ เป็นเด็กที่แปลกประหลาด และตลอดทั้งหมดมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวเขาและตอนนี้เขาหลุดออกมาและพยายามที่จะคิดว่าเขาจะรับการฝึกอบรมทางด้านการทหารของเขาจากโรงเรียนของเขาและปลดปล่อยประชาชนและสิ่งนั้นก็ล้มเหลว จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารและแต่งงานกับหญิงชาวเอธิโอเปียนที่น่ารักและพวกเขาก็มีลูกชายตัวน้อยชื่อ เกอร์โชม

และวันหนึ่งขณะที่กำลังเลี้ยงดูฝูงสัตว์อยู่ ในทันทีทันใดนั้นเขาได้เห็นพุ่มไม้ที่อยู่ขึ้นไปบนยอดภูเขาลุกเป็นไฟ และเขาก็ได้ขึ้นไปที่นั่นและไม่ใช่ภูมิปัญญา, ไม่ใช่จินตนาการ, ไม่ใช่ความหลงละเมอ, ภาพลวงตา แต่ในพุ่มไม้นั้นมีพระเจ้าของอับราฮัมในแสงไฟ เสาเพลิงอยู่ข้างหลังพุ่มไม้ ไฟนั้นเหมือนคลื่นที่กำลังออกไป แต่ก็ไม่ได้รบกวนพุ่มไม้นั้น และเสียงของข้อพระคัมภีร์ พระสุรเสียงของพระเจ้ากล่าวผ่านที่นั่นและตรัสว่า “เราได้เลือกเจ้า เจ้าเป็นคนนั้น เรายกเจ้าขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้ เรากำลังพิสูจน์แก่เจ้าที่นี่โดยหมายสำคัญต่างๆ ที่เจ้ากำลังจะลงไปปลดปล่อยประชาชน เพราะพระวจนะของเราต้องสำเร็จ”

โอ้ พระวจนะของพระองค์ของยุคนี้ต้องสำเร็จ! พวกเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน ณ เวลานี้ ไม่ว่าคนอื่นพูดอย่างไรก็ตาม พระวจนะจะต้องสำเร็จ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจะล่วงไป แต่พระวจนะของพระองค์ทรงดำรงอยู่

ตอนนี้เมื่อโมเสสได้ทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันและได้เห็นจากทุกทิศทุกทาง ความเชื่อของเขาได้รับการเจิม อาเมน! โอ้! ช่างเป็นความคิดอะไร สิ่งนี้เองที่ได้เห็นในข้อพระคัมภีร์กำลังชี้ตรงไปยังสิ่งที่มันเป็น และพระดำรัสของพระเจ้าและหลักฐานของมันที่นั่น ทรงเจิมความเชื่อที่มีอยู่ในตัวเขาเพื่อไปทำพันธกิจ มันน่าจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่าครับ!

พวกเราต้องการการกลับใจใหม่ พวกเราต้องการการฟื้นฟู ผมกำลังพูดด้วยตัวของผมเอง ผมต้องการการเขย่า ผมต้องการบางสิ่งบางอย่าง ผมบอกว่าผมกำลังพูดกับตัวของผมเองตอนเช้านี้หรือเกี่ยวกับตัวของผมเอง ผมต้องการการตื่นขึ้น และเมื่อผมคิดถึงหลักฐานอันยิ่งใหญ่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่นั่น และทรงเจิมความเชื่อของโมเสสและของผม เขาเห็นว่าไม่มีอะไร

นี่เขาได้หนีออกมาจากอียิปต์เมื่อเขาอาจจะได้เริ่มต้นเป็นกบฏหรืออะไรบางอย่างจริงๆ และเขาอาจจะได้ลุกขึ้นและเริ่มการปฏิวัติในอียิปต์และอาจจะได้นำกองทัพและต่อสู้ แต่คุณเห็นไหมครับ... และมีหลายพันคนในฝ่ายของเขา แต่แทนที่เขาจะเป็นเช่นนั้น-รู้สึกกลัวแม้แต่จะทำอย่างนั้นกับกองทัพในฝ่ายของเขา แต่ตอนนี้ที่นี่เขาจะกลับมาสี่สิบปีต่อมา อายุแปดสิบปีกับไม้เท้าอันหนึ่งเท่านั้นในมือของเขา ทำไมเล่าครับ? สิ่งที่กำลังเผาไหม้อยู่ในจิตใจของเขาได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาได้รับการเจิมเวลานั้นและเขารู้ว่าเขาได้รับ พระเจ้าตรัสดังนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งเขาได้ในเวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับเขา นั่นคือทั้งหมดที่เขาต้องการ-พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับเขา

โอ้ เมื่อคุณรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงใช้คุณไปทำบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่นอน และคุณเห็นมันกำลังเคลื่อนขึ้นไปที่นั่น ไม่มีแม้แต่สิ่งใดที่จะสามารถแทนที่มันได้ นั่นแหล่ะครับ

ผมจำได้หลายครั้ง เมื่อพระเจ้าทรงบอกผมเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และจากนั้นผมเคลื่อนขึ้นไปและเห็นมันวางอยู่ที่นั่น-โอ้ ช่างมีความรู้สึกอะไรกันเล่าครับ! สถานการณ์นี้ได้อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว นั่นแหล่ะครับ เห็นไหมครับ? เพราะว่าพระเจ้าตรัสดังนั้น

ผมจำได้... พวกคุณหลายคนจำเกี่ยวกับเด็กชายเล็กๆ ที่ถูกทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายในฟินแลนด์ได้ไหมครับ และจากนั้น... จากความตาย ถูกทำให้เสียชีวิตโดยรถยนต์ และผมยืนอยู่ที่นั่นบนด้านข้างของถนนนั้นและเริ่มที่จะเดินออกไปจากเด็กคนนั้นและได้หันกลับมามอง และบางสิ่งบางอย่างก็เอามือมาวางบนไหล่ของผม และผมคิดว่ามันเป็นบราเดอร์มัวร์ และไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวผม

และผมได้หันกลับไปมองและจากนั้นผมมองขึ้นไปที่ภูเขา ผมเห็น ... ผมกล่าวว่า “ดีล่ะ ผมได้เห็นเนินเขานั่นบางแห่ง แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นมาทางนี้ พวกเรามาอีกทางหนึ่ง เนินเขานั้นอยู่ที่ไหน?” และผมมองและเห็นรถคันนั้นที่นั่นอับปาง-เห็นเด็กชายเล็กๆ คนนั้นที่นั่นกับเขา... นอนอยู่ที่นั่นกับ “ผมซอยสั้น เหมือนทรงผม “(ที่เราเรียกมันที่นี่) ดวงตาหันกลับมาเหมือนของบราเดอร์เวย์เป็นเมื่อวันก่อนที่เขาล้มลง และเท้าเล็กๆ ทะลุผ่านถุงเท้าที่ขาดเล็กๆ ของเขา และเลือดออกมาจากดวงตาและจมูกและหูของเขา และได้เห็นกางเกงขาสั้นตัวเล็กๆ ของเขาและติดกระดุมที่นี่ตลอดด้านข้างของเอวเล็กๆ ของเขาและถุงเท้าเล็กๆ ของเขาที่ขึ้นมาเหมือนถุงเท้ายาวที่พวกเราสวมหลายปีที่ผ่านมา 

และผมมองไปรอบๆ และนั่นมันเป็นวิธีการอย่างแน่นอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงบอกผมเมื่อสองปีก่อน เมื่อพวกคุณทั้งหมดได้เขียนมันไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลของพวกคุณทั่วประเทศว่ามันจะเกิดขึ้น

โอ้ นั่น... จากนั้นสถานการณ์เกิดขึ้น! ไม่ว่าเขาตายอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนอื่นพูดอะไรก็ตาม มันจบสิ้นทั้งหมด เขาจะต้องกลับมา

ผมบอกว่า “ถ้าหากเด็กคนนี้ไม่ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วดังนั้นผมเป็นผู้เผยพระวจนะเท็จ ผมบิดเบือนความจริงของพระเจ้า สำหรับในบ้านเกิดเมื่อสองปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงบอกผมว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น” และมีพันธกรเหล่านี้และทั้งหมด มันถูกเขียนบนใบปลิวของพระคัมภีร์ไบเบิลของพวกเรา และที่นี่มันเป็นอย่างแน่นอน จงอ่านมันออกมาจากใบปลิวนั่น มันจะเกิดขึ้นในประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยก้อนหินและอื่นๆ –ถูกทำให้เสียชีวิตบนนั้น อยู่ด้านขวามือของถนน ผมกล่างว่า “นั่นไงครับ ไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้” สถานการณ์นี้ได้อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว

ความเชื่อที่อยู่ในจิตใจของผมได้รับการเจิม โอ้ ถ้าผมสามารถอธิบายมันได้เท่านั้น! ความเชื่อที่พระเจ้า... ผมมีในพระเจ้าที่ทรงบอกผมนั้นไม่เคยล้มเหลวเลย ทรงบอกผมว่า “สถานการณ์นี้อยู่ภายใต้การควบคุมในเวลานี้ นี่คือสิ่งที่ผมสำแดงให้พวกคุณเห็นอย่างแน่นอนเมื่อสองปีที่ผ่านมาและนี่มันกำลังวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกคุณต้องทำคือ จงกล่าวพระวจนะ! “และเด็กชายเล็กๆ ก็ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เห็นไหมครับ?

ผมกำลังคิดอยู่และกำลังมองหันกลับไปที่บราเดอร์เฟร็ด ซอธมานน์ ที่นั่งอยู่ที่นั่น และ บราเดอร์แบ็งค์ส วู้ด และพวกเขาในวันก่อนๆ บนทางหลวงอลาสก้า ผมยืนอยู่ที่นี่ที่คริสตจักรได้อย่างไร และได้บอกพวกคุณทั้งหมดถึงสัตว์ชนิดหนึ่งที่คล้ายเขากวางสี่สิบสองนิ้ว และหมีกรีสลีย์ซิลเวอร์ทิป ผมไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนและนั่น... ว่าผมกำลังจะได้รับสิ่งนี้ และมันจะเป็นไปได้อย่างไรและกี่คนที่จะอยู่กับผมและพวกเขาจะแต่งตัวอย่างไร พวกคุณรู้เรื่องนั้น พวกคุณทุกคน หลายสัปดาห์และหลายสัปดาห์ก่อนที่มันได้เกิดขึ้น

และที่นั่น เมื่อผมได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ไม่รู้จักมัน ที่นั่นสัตว์ตัวนั้นนอนอยู่ที่นั่น และผมไปและเขา... มันเป็นไปไม่ได้ถ้านักล่าสัตว์รู้หรือกำลังฟังเทปนี้อยู่ พวกคุณไม่สามารถเดินขึ้นไปเผชิญหน้ากับสัตว์ได้อย่างไร มันจะต้องกระโดดและวิ่ง แต่มันไม่ได้

ที่นั่นมันโชว์อยู่ในห้องเก็บของของผม ที่นั่นโชว์หมีกรีสลีย์ซิลเวอร์ทิปตัวนั้นจริงๆ โดยที่... และไม้บรรทัดอันหนึ่งวางอยู่ที่นั่น สายวัดอันหนึ่งที่แสดงความยาวจริงๆ ของมัน... และเขาสัตว์จะหดตัวลงอย่างน้อยสองนิ้วหรือมากกว่าเมื่อมันเป็นสีเขียวสดอยู่บนสัตว์ตัวนั้นและเมื่อมันแห้ง แต่นี่ไม่เคยหดตัวเลย มันยังคงอยู่อย่างนั้นบนจมูกสี่สิบสองนิ้ว เห็นไหมครับ? หมีกรีสลีย์ซิลเวอร์ทิปนอนอยู่ที่นั่น มันยาวเจ็ดฟุตอย่างแน่นอนและทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างที่มันเคยเป็นอย่างแน่นอน กำลังนอนอยู่ที่นั่นตอนนี้

นอกจากนั้นเมื่อผู้ชายคนนี้บอกผมว่า “เห็นไหมครับ บราเดอร์บรานฮาม ตอนนี้พวกเราได้สัตว์ตัวนี้ที่ท่านพูดถึง นอกจากนั้นท่านบอกผมว่าท่านจะได้หมีกรีสลีย์สีเงินก่อนที่ท่านจะไปถึงด้านล่างของเนินเขา กลับไปยังที่พวกเขาพวกเด็กชายอยู่ คนที่สวมเสื้อสีเขียว” ผมบอกว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ พระเจ้าทรงกล่าวสิ่งนั้น”

“แต่บราเดอร์บรานฮาม” เขาบอกว่า “ผมสามารถมองเห็นได้ทั่วทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่นี่หลายๆ ไมล์ ไม่มีอะไร มันจะมาจากไหนกันเล่าครับ?”

ผมบอกว่า “นั่นไม่ใช่สำหรับผมที่จะถาม พระเจ้าตรัสดังนั้น และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม พระองค์ทรงสามารถนำหมีมาที่นั่นได้ พระองค์ทรงสามารถวางหนึ่งตัวไว้ที่นั่นได้” และพระองค์ได้ทรงกระทำ และมันอยู่ที่นั่น

มันเป็นสถานการณ์ภายใต้การควบคุม และเมื่อโมเสสเห็นว่าเขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้และเขาได้พบกันสองต่อสองกับพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่พระองค์นี้ที่ได้ทรงกระทำการทรงเรียกและทรงเจิมเขาและได้ทรงพิสูจน์แก่เขาและตรัสว่า “นี่คือการทรงเรียกของเจ้าโมเสส เรากำลังส่งเจ้า เราจะสำแดงให้เจ้าเห็นพระสิริของเราและที่นี่เราอยู่ในพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟนี้ จงลงไปที่นั่น เราจะอยู่กับเจ้า” เขาไม่ต้องการแม้แต่ไม้เท้า เขามีพระวจนะ พระวจนะที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เขาจึงไปที่นั่น

ได้ทรงเจิมความเชื่อที่อยู่ในตัวเขา และทรงเจิมพวกเราเมื่อพวกเราเห็นว่าพวกเรากำลังเป็นอยู่ในวาระสุดท้าย เพื่อจะพบว่าหมายสำคัญต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดที่พวกเราเห็นนั้นซึ่งถูกกล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ว่าจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายกำลังจะเกิดขึ้น ตลอดทางจากสวรรค์ถึงอำนาจต่างๆ ทางการเมืองและธรรมชาติของพวกคนทั้งหลายและศีลธรรมอันเสื่อมทรามของโลกและในท่ามกลางพวกผู้หญิง และพวกเขาจะทำอย่างไรในยุคสุดท้าย และพวกผู้ชายจะทำอย่างไร และคริสตจักรจะทำอย่างไร ประชาชาติจะทำอย่างไร และพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไร และพวกเราเห็นมันทั้งหมดกำลังวางอยู่ ณ ที่นี่บนพวกเรา

โอ้ ทรงเจิมความเชื่อของพวกเรา ทรงเคลื่อนพวกเราออกมายังวัฏจักรอันยิ่งใหญ่ ดูเถิดครับ ทรงแยกพวกเราออกจากสิ่งอื่นๆ ที่เป็นของโลก ดูเถิดครับ ไม่ว่าพวกเราเล็กน้อยเพียงไร พวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยเท่าไหร่, พวกเราถูกหัวเราะเยาะมากเพียงใด, ถูกทำให้ตลกมากเพียงใดก็ตาม ไม่ได้ทำให้แตกต่างสักเล็กน้อย นั่นแหล่ะครับ พวกเราเห็นมัน มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ภายในพวกเรา พวกเราได้รับการเลือกสรรแล้วเพื่อที่จะเห็น ณ เวลานี้ และไม่มีอะไรที่จะหยุดพวกเราได้จากการเห็นมัน อาเมน! แน่นอนว่า พระเจ้าได้ทรงกล่าวไว้แล้ว มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว พวกเราเห็นมัน โอ้ พวกเราขอบพระคุณพระเจ้าอย่างยิ่งสำหรับสิ่งนี้! โอ้! ดังนั้นมันนำความเชื่อของพวกคุณออกมาเมื่อพวกเราเห็นสิ่งเหล่านี้ที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่

ตอนนี้ ที่นี่อีกครั้งหนึ่งที่พวกเราอ่านว่า โมเสสถือว่าความอัปยศของพระคริสต์นั้นประเสริฐกว่าทรัพย์สมบัติต่างๆ ของอียิปต์ ตอนนี้เขานับถือความอัปยศของพระคริสต์ ตอนนี้จำได้ไหมครับ ความอัปยศของพระคริสต์ เห็นไหมครับ?

มีความอัปยศในการรับใช้พระคริสต์ ถ้าหากคุณเป็นที่นิยมมากในฝ่ายโลกแล้วคุณมิอาจจะรับใช้ได้-คุณมิอาจจะรับใช้พระคริสต์ได้ ไม่ครับ คุณมิอาจจะทำได้เพราะคุณเห็นว่ามีความอัปยศที่ดำเนินไปกับมัน โลกได้ประณามเสมอ

กลับไปที่นั่นหลายพันปีที่ผ่านมา มีความอัปยศที่ได้ดำเนินไปกับมัน และโมเสสที่จะเป็นฟาโรห์ (เขาเป็นฟาโรห์องค์ต่อไป, โอรสของฟาโรห์) และเขากำลังจะเป็นฟาโรห์องค์ต่อไปที่ได้รับความโปรดปรานในท่ามกลางประชาชนและเขายังได้รับการยกย่อง (เทิดทูน หมายถึง ยกย่อง) ... เขายกย่องความอัปยศของพระคริสต์ว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทั้งหมดที่อียิปต์สามารถจะให้เขาได้ อียิปต์อยู่ในมือของเขา แต่กระนั้นเขารู้ว่าด้วยการเลือกทางของพระคริสต์เป็นความอัปยศ แต่กระนั้นเขาก็มีความสุขมากที่จะรู้ว่ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้เขายกย่องวิธีการนี้ของพระคริสต์... ความอัปยศของพระคริสต์มากกว่า... ยิ่งใหญ่กว่าความเย้ายวนใจทั้งหมดที่เขาได้รับมรดก เขามีมรดกภายในของเขาที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสิ่งที่เป็นมรดกภายนอกที่ได้ให้กับเขา

โอ้ ถ้าหากพวกเราอาจจะเป็นเหมือนอย่างนั้นในวันนี้และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเจิมสิ่งที่พวกเรามีอยู่ภายในพวกเรา ความเชื่อนั้นที่จะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ถวายแด่พระคริสต์

ตอนนี้ด้วยความเชื่อเช่นนั้นว่าเขามี เขาสังเกตเห็นและเขายกย่องว่า ความอัปยศเป็นเกียรติ

วันนี้คนบางคนอาจจะบอกว่า “เฮ้ คุณเป็นคนหนึ่งในพวกคนทั้งหลายเหล่านั้นหรือ? พวกคนเหล่านั้น อ่า...?“

“ดีล่ะ ... อ่า ... ฮ่า ...“

พวกคุณเพียงละอายใจกับมันบ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นเขายกย่องมันว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเพราะว่ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาที่เขาสามารถพูดออกมาได้และบอกว่า “ใช่ ข้าพเจ้ายกย่องสิ่งนี้ สิ่งนี้ได้รับเกียรติอย่างสูง ข้าพเจ้ายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา” เห็นไหมครับ? “ข้าพเจ้ายินดีที่จะนับตัวของข้าพเจ้าเองว่าเป็นคนฮีบรูและไม่ใช่คนอียิปต์”

ปัจจุบันนี้พวกคริสเตียนควรจะพูดอย่างเดียวกันว่า “ผมยินดีที่จะนับตัวของผมเองว่าเป็นคริสเตียนที่จะงดเว้นจากสิ่งต่างๆ ของโลกและคำสั่งของโลก”-มิใช่เพียงแค่ในฐานะเป็นสมาชิกคริสตจักร แต่ในฐานะคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ผู้ดำเนินชีวิตอยู่ตามข้อพระคัมภีร์ แม้ว่าผมจะถูกเรียกโดยสมาชิกของคริสตจักรว่า คนคลั่งไคล้ ผมยังยกย่องว่า... สิ่งยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดเล่า ถ้าผมเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหรือในประเทศ ผมอยากจะเป็นสิ่งนั้นมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหรือกษัตริย์เหนือแผ่นดินโลก (พวกคุณเห็นไหมครับ?) ผมยกย่องสิ่งนั้นอย่างยิ่งเพราะพระเจ้าโดยพระเมตตาของพระองค์ก่อนการวางรากฐานของโลกได้ทอดพระเนตรเห็นผมและได้ทรงวางเมล็ดพืชเล็กๆ ในที่นั่นที่ความเชื่อของผมจะบินได้เหนือสิ่งเหล่านี้ของโลก และตอนนี้พระองค์ได้ทรงเรียกผม และผมนับถือสถานที่ของผม- 

ดั่งที่ อ. เปาโลกล่าวว่าเขาได้ยกย่องการงานของเขาว่าอยู่ในระดับสูง โอ้ พระเจ้าได้ทรงเรียกเขาจากการเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยง กามาลิเอล แต่ อ.เปาโล ได้รับการทรงเรียกให้เสียสละเพื่อพระคริสต์

ตอนนี้สิ่งเดียวกัน สังเกตว่า ด้วยความเชื่อเช่นนั้นที่เขาไม่เคยวางใจด้วยสายตาของเขา-สิ่งที่เขาสามารถเห็นได้ ตอนนี้เขาไม่เห็นอะไรเลยที่นั่นนอกจากกลุ่มคนที่ขนย้ายโคลน, พวกทาสในคุก, ที่ถูกสังหารทุกวัน, ถูกเฆี่ยนด้วยแส้, ถูกทำให้เป็นตัวตลก ความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาเป็นความคลั่งไคล้ และมีฟาโรห์องค์หนี่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ไม่รู้จักหรือยกย่องสิ่งใดเกี่ยวกับศาสนาของพวกเขา เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ... เขาเป็นคนนอกศาสนา ดังนั้นเขาเพียงแค่ ...

ช่างเป็นภาพๆ หนึ่งของปัจจุบันนี้ และที่นั่นมันเป็นศาสนาที่แตกต่างและเป็นอย่างไรเล่าครับ ถ้าหากโมเสสผู้นี้ยังอยู่ในที่นั่งนั้นกับประธานาธิบดีหรือพวกผู้ยิ่งใหญ่, ฟาโรห์ เพื่อจะแทนที่เขาที่ความตายของเขา และเขาก็เป็นชายชรา และโมเสสยังคิดว่าการทรงเรียกนั้น... เขามองออกไปที่นั่น และหน้าต่างเดียวกันกับที่ฟาโรห์ได้มองออกไปเพราะเขาอยู่ในวังของเขา... และฟาโรห์ได้มองออกไปข้างนอกและได้เห็นคนเหล่านั้นที่กำลังยกมือของพวกเขาขึ้นและพวกทหารได้ใช้แส้และเฆี่ยนพวกเขาให้ถึงแก่ความตายเพราะพวกเขากำลังอธิษฐานอยู่

และพวกเขาได้ใช้ดาบแทงพวกเขาเพราะพวกเขายังล้มเหลวที่จะไม่เชื่อฟังได้ทุกเวลาและทำให้พวกเขาทำงานจนร่างกายเล็กๆ ที่ชราภาพของพวกเขาล้มลง และให้พวกเขากินเพียงครึ่งเดียว ดีล่ะ ไม่มีอะไร นอกจากพวกบ้าคลั่ง แทบจะไม่ใช่มนุษย์ 

และโมเสสยังมีความเชื่อนั้นในตัวเขาได้มองไปยังพวกเขาและเขากล่าวว่า “พวกเขาเป็นพวกคนทั้งหลายที่ได้รับพระพรของพระเจ้า” อาเมน ผมชอบประโยคนั้น

ด้วยความเชื่อดังกล่าว... ดวงตาของเขาไม่ได้ตกอยู่ในความเย้ายวนใจของอียิปต์ มันตกลงในพระสัญญาของพระเจ้า ดวงตานกอินทรีแห่งความเชื่อของเขาได้เห็นไปไกลกว่าความเย้ายวนใจของอียิปต์ พวกคุณจำได้ไหมครับว่า เขากำลังกลายเป็นนกอินทรีในขณะนี้ เขาเป็นผู้เผยพระวจนะและดวงตานกอินทรีของเขายกขึ้นเหนือสิ่งเหล่านั้น โอ้ ผมชอบสิ่งนั้นมาก!

ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรเล่าครับ... ปัจจุบันนี้พวกคริสเตียนพึ่งพาความรู้สึกของพวกเขาจากสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นหรือสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจแทนความเชื่อของพวกเขา ที่จะพึ่งพาสิ่งที่พวกคุณเห็นด้วยตาและความเย้ายวนใจของพวกคุณ เช่นเดียวกับพวกคุณพวกผู้หญิง- ผมมักจะขอร้องกับพวกคุณอยู่เสมอเกี่ยวกับพวกคุณต้องปล่อยให้เส้นผมของพวกคุณยาวขึ้น พวกคุณต้องไม่แต่งหน้า พวกคุณต้องทำตัวเหมือนพวกสุภาพสตรีและพวกคริสเตียน พวกคุณมองออกไปบนถนนและเห็นพวกผู้หญิงปัจจุบันนี้แต่งตัวตํ่าช้า ดีล่ะ พวกคุณคิดว่า “ดีล่ะ นางเป็นสมาชิกของคริสตจักร ทำไมดิฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เล่า?” เห็นไหมครับ? “และนางตัดผมของนาง ทำไมดิฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เล่า? ดีล่ะ นางดูเหมือนน่ารักมากเท่ากับภูมิปัญญา... และบุคลิกภาพที่ดิฉันไม่ได้แม้กระทั่ง ดีล่ะ ทำไมดิฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เล่า? ดิฉันควรจะทำมัน” เมื่อพวกคุณทำเช่นนั้นพวกคุณทำให้ความเชื่อของพวกคุณเป็นอัมพาต เห็นไหมครับ? พวกคุณไม่ให้ความเชื่อของพวกคุณมีโอกาสที่จะเติบโต จงเริ่มต้นที่สิ่งนั้น

ขณะที่ผมพูด... ใครบางคนบอกว่า “บราเดอร์บรานฮาม ประเทศที่คนทั้งหลายยกย่องว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านไม่ควรจะตะคอกพวกผู้หญิงเหมือนอย่างนั้นและพวกผู้ชายสำหรับสิ่งเหล่านี้ ท่านควรจะสอนพวกเขาถึงวิธีการเผยพระวจนะและการได้รับของประทาน”

ผมบอกว่า “ผมจะสอนพีชคณิตให้แก่พวกเขาได้อย่างไร เมื่อพวกเขาไม่รู้แม้แต่ ก-ข-ค ของพวกเขา?” ตอนนี้เพียงแค่เริ่มต้นจากสิ่งนั้น จงทำความสะอาดตัวเอง เพราะว่าเมื่อคุณเดินออกไปบนถนน คุณดูเหมือนคริสเตียน อย่างไรก็ตาม เห็นไหมครับ? และจากนั้นไปทำตัวเป็นเหมือนคนๆ หนึ่ง เห็นไหมครับ? และคุณไม่อาจจะทำมันได้ด้วยภายในตัวของคุณเองจะต้องมีพระคริสต์ทรงสถิตย์อยู่ในตัวคุณและถ้าหากเมล็ดพืชนั้นได้ถูกวางอยู่ในที่นั่นและแสงสว่างส่องกระทบมัน มันก็จะมีชีวิต ถ้ามันไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรที่นั่นเพื่อมายังชีวิตเพราะมันพิสูจน์แน่นอนแล้วกับคนอื่นๆ มันมีชีวิตทันทีที่แสงสว่างส่องกระทบมัน

นั่นเป็นการกระหนาบสำหรับพวกผู้หญิง ผมรู้ว่าคนที่กำลังฟังเทปนี้อยู่หรือจะฟังมัน มันกระหนาบคุณ พี่น้องหญิง มันควรจะ มันควรจะเพราะมันแสดงว่า... ผมไม่สนใจสิ่งที่คุณเคยทำ คุณอาจจะเคยเคร่งศาสนามาตลอดชีวิตของคุณ คุณอาจจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในคริสตจักร คุณพ่อของคุณอาจจะเป็นพันธกรหรือสามีของคุณอาจจะเป็นพันธกร แต่ตราบใดที่คุณไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าก็แสดงว่า ไม่มีชีวิตที่นั่น

เมื่อคุณเห็นสิ่งที่ถูกนำออกมาและชีวิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

จงเพ่งดูสิ่งนั้นเมื่อมันส่องสว่างกับคนอื่นๆ ดูเถิดครับ สิ่งที่พวกเขากระทำ ถ้ามันนำสิ่งนั้นมายังพวกเขา... ไม่น่าแปลกใจ...

ช่างเป็นการกระหนาบพวกฟาริสีเหล่านั้นที่ได้เรียกพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงสามารถล่วงรู้ความนึกคิดของพวกเขาได้ พวกเขาเรียกพระองค์ว่า “เบเอลเซบุบ” และโสเภณีเล็กๆ นั้นกล่าวว่า “ทำไม ท่านผู้นี้คือพระเมสสิยาห์ ข้อพระคัมภีร์กล่าวว่า พระองค์จะทรงกระทำสิ่งนี้” เห็นไหมครับ? เมล็ดพืชที่ได้รับการเลือกสรรแล้วนั้นถูกวางอยู่ที่นั่นและเมื่อแสงสว่างปะทะมัน มันก็มีชีวิตขึ้นมา

คุณมิอาจจะตัดทอนมันได้ คุณมิอาจจะปิดบังชีวิตได้ คุณอาจจะ... เทคอนกรีตลงบนหญ้าและฆ่ามันในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิถัดไปหญ้าที่มากที่สุดของคุณอยู่ที่ไหนเล่าครับ? ณ รอบๆ ขอบของคอนกรีตนั้นเพราะว่าเมล็ดพืชได้เน่าสลายไปภายใต้หินเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มต้นที่จะส่องแสง คุณมิอาจจะถ่วงมันไว้ได้ มันจะชอนไชทางของมันผ่านรอบๆ ที่นั่นและออกมาจากขอบของที่นั่นและเชิดหัวของมันขึ้นไปยังพระสิริของพระเจ้า ดูเถิดครับ คุณมิอาจจะซ่อนชีวิตได้

เมื่อดวงอาทิตย์ปะทะชีวิตของพฤกษศาสตร์มันก็มีจะมีชีวิต และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปะทะชีวิตของข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในมนุษย์คนหนึ่ง มันจะเกิดผลของมัน ณ ที่นั่น ดังนั้นโดยไม่คำนึงถึงว่า คุณจริงและสัตย์ซื่อมากเพียงไร คุณกล่าวว่าคุณไม่ได้กำลังพูดว่าอย่างไร... กล่าวว่าพวกผู้หญิงเหล่านี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ดีเหล่านี้และสิ่งต่างๆ ภายนอกที่นั่น เพียงแค่นางได้ระบำเปลื้องผ้าธรรมดาบนถนนเท่านั้น แม้ว่าคุณจะไม่เชื่อว่าคุณเป็น คุณไม่สามารถทำให้คุณเชื่อได้ คุณอาจจะพิสูจน์ว่าคุณบริสุทธิ์ในการล่วงประเวณี แต่ในหนังสือของพระเจ้าที่คุณกำลังล่วงประเวณี พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด เขาได้ล่วงประเวณีกับนางในจิตใจของเขาแล้ว และคุณได้นำเสนอตัวเองในลักษณะนั้น ดูเถิดครับ คุณไม่สามารถเห็นได้เว้นแต่ว่าชีวิตวางอยู่ที่นั่น

คุณมองที่คนอื่น คุณบอกว่า “ดีล่ะครับ ผมรู้จักซิสเตอร์โจนส์ บราเดอร์โจนส์เป็นพันธกร ภรรยาของเขาทำอย่างนี้และอย่างนั้น” ผมไม่สนใจว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นี่เป็นพระวจนะ

พระเยซูตรัสว่า “ให้ถ้อยคำของมนุษย์ทุกคนเป็นคำโกหกและของเราเป็นความจริง” มันเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลและเมื่อแสงสว่างนั้นปะทะกับมันจริงๆ มันจะต้องมีชีวิต มันเพียงจะต้องมีชีวิต

ตอนนี้โมเสสมีดวงตาที่ยอดเยี่ยม ดวงตานกอินทรีของเขาได้มองไปไกลเกินกว่าความเย้ายวนใจของอียิปต์ คริสเตียนผู้เชื่อแท้ยุคนี้ ไม่ว่าคริสตจักรกล่าวว่าอะไร คนอื่นพูดอะไรก็ตาม เมื่อแสงสว่างปะทะกับมัน พวกเขาเห็นการพิสูจน์อันแน่แท้ของพระเจ้า เสาเพลิงที่แขวนอยู่ที่นั่นและหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ข้อพระคัมภีร์ทรงสัญญาไว้ถูกวางไว้และมันมีชีวิตขึ้นมา ไม่ว่ามันเล็กน้อยเพียงไร และมีกี่คนในพวกชนกลุ่มน้อยก็ตาม กลุ่มคนของพระเจ้าเป็นชนกลุ่มน้อยเสมอ เห็นไหมครับ?

“ฝูงแกะน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระบิดาของพวกท่านชอบพระทัยจะประทานแผ่นดินนั้นแก่พวกท่าน” เห็นไหมครับ? พวกเขาเข้าใจ พระเจ้าได้ประทานพระสัญญาที่จะส่งพวกเขาเข้ามาจากทุกนิกาย, ทุกคำสั่ง, ทุกหนแห่ง ที่จะเห็นมัน ถ้าพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิต”

มองดูที่สิเมโอนชายชราผู้ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิต เมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมาในพระวิหารในรูปแบบของพระกุมารเยซูในอ้อมแขนของมารดาของเขา สิเมโอนกลับมาอยู่ในห้องพักอยู่บางแห่งกำลังอ่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงฟื้นเขาขึ้นมาจากความตาย สำหรับเขาผู้กำลังรอคอยอยู่ ชีวิตนั้นอยู่ในเขา เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ตายจนกว่าข้าพเจ้าจะได้เห็นพระคริสต์เจ้า” และมีพระคริสต์เจ้าทรงประทับในพระวิหาร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเขาออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของเขาและเดินลงไปที่นั่นและอุ้มพระกุมารขึ้นมาและกล่าวว่า “ขอให้ทาสของพระองค์ไปในสันติสุข เพราะว่าดวงตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว”

มีหญิงชราตาบอดผู้หนึ่งอยู่ที่หัวมุมชื่อ อันนา ผู้รับใช้พระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้นางยังได้พยากรณ์และกล่าวว่า “พระเมสสิยาห์กำลังเสด็จมา ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นพระองค์กำลังเสด็จมา” แต่นางตาบอด ในเวลาเดียวกันขณะที่พระองค์ทรงประทับอยู่ที่นั่น ชีวิตเล็กๆ นั้นซึ่งอยู่ในนางนั้นถูกพยากรณ์ว่าจะอยู่ที่นั่น ก็จะอยู่ที่นั่น จากนั้นชีวิตเดียวกันนั้น แสงสว่างเข้ามาในพระวิหารในรูปแบบของพระกุมารในฐานะเด็กนอกกฏหมายที่ได้ถูกห่อไว้ในผ้าอ้อมของเขากำลังขึ้นมายังพระวิหาร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปะทะหญิงชราตาบอดนั้นและนางมาโดยพระวิญญาณ ทรงนำมายังพวกผู้คนและยืนอยู่เหนือพระกุมารนี้และได้อวยพรคุณแม่และอวยพรพระกุมารและได้บอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของพระกุมาร เห็นไหมครับ? ทรงถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิต เห็นไหมครับ? มองที่พวกเขา มีไม่ถึงสิบสองคนของพวกเขา

มีเพียงแปดชีวิตเท่านั้นที่รอดในยุคของโนอาห์ ไม่มากเลย แต่ทั้งหมดก็ได้ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิตที่เข้ามาในเวลานั้น ดูเถิดครับว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการงานอย่างไรในแต่ละยุคสมัย ทรงดึงดูดพวกคนทั้งหลาย

ตอนนี้พวกเราพบว่า ความเชื่อของโมเสสได้นำเขาให้มองสิ่งที่จะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่แล้ว มองวันพรุ่งนี้แทนที่จะมองวันนี้ มองพระสัญญาแทนที่จะมองความเย้ายวนใจ มองที่พวกคนทั้งหลายแทนที่จะมององค์กร เห็นไหมครับ? พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น

โลทได้เห็นความเย้ายวนใจของความเจริญรุ่งเรืองในเมืองโสโดม โลทได้เห็นความเป็นไปได้ของเงินจำนวนมาก โลทได้เห็นความเป็นไปได้เมื่อเขามองไปยังเมืองโสโดมและเขาอาจจะกลายเป็น... เขาเป็นคนฮีบรู เขาอาจจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่นเพราะเขาเป็นบุคคลผู้มีภูมิปัญญาอันยอดเยี่ยมและเป็นเหลานชายของอับราฮัม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไปยังเมืองโสโดม

ภูมิปัญญาของโลทได้นำเขาไปดูความเย้ายวนใจแห่งความเจริญรุ่งเรือง ภูมิปัญญาของโลทได้นำเขาไปดูพรของความเย้ายวนใจ นอกจากนั้นความเชื่อของเขาก็ได้กลายเป็นอัมพาตโดยสิ่งนั้น เขาไม่เห็นไฟที่กำลังจะทำลายแหล่งที่มาของชีวิตนั้น และนั่นคือหนทางที่ผู้คนเป็นในยุคนี้ พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ของการเป็นเจ้าขององค์กรที่ใหญ่โต พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ของการมีสถานะทางสังคมกับพวกผู้คนในเมือง แต่พวกเขาไม่เห็นความเป็นไปได้ ... พวกเขาไม่เห็น ความเชื่อของพวกเขาเป็นอัมพาต

ให้ผมยํ้าเรื่องนั้นเพื่อมันจะไม่ถูกเข้าใจผิด พวกผู้หญิงปัจจุบันนี้ที่ผมบอกว่า พวกนางอยากจะทำตัวเป็นเหมือนพวกดาราภาพยนต์ พวกผู้ชายปัจจุบันนี้อยากจะทำตัวเป็นเหมือนพวกดาราตลกทางโทรทัศน์ 

พวกนักเทศน์ในยุคนี้ดูเหมือนว่าอยากจะทำให้คริสตจักรของพวกเขาเป็นเหมือนโรงแรมหรือรีสอร์ทสมัยใหม่บางแห่ง การเป็นสมาชิกและสิ่งอื่นๆ พวกเขาเห็นความเป็นไปได้ที่อาจจะกลายเป็นบาทหลวงหรือหัวหน้าแม่ทัพหรือบางสิ่งบางอย่างที่ถ้าหากพวกเขาจะไปกับคริสตจักรนั้น กำลังละทิ้งข้อพระคัมภีร์เมื่อมันวางอยู่ ณ ต่อหน้าพวกเขาด้วย... ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยตลอดด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและด้วยพระวจนะที่ทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้า ที่ทรงสถิตย์อยู่ในพวกคนทั้งหลาย แต่พวกเขาก็ยังไม่ต้องการพระองค์ พวกเขากล่าวว่า “พวกเราไม่อยากจะปะปนกับบางสิ่งบางอย่างเช่นนั้น” มันจะใช้บัตรสามัคคีธรรมของพวกเขา มันจะใช้คำสั่งนิกายของพวกเขา พวกคนซื่อสัตย์เช่นโลทกำลังนั่งลงในเมืองโสโดมกำลังรู้อยู่ว่ามีอะไรผิดปกติ ดูเถิดครับ พวกเขาทำอะไรเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น? พวกเขาทำให้ความเชื่อเล็กน้อยที่พวกเขามีเป็นอัมพาต มันทำไม่ได้

ตอนนี้โมเสสสละสิ่งนั้นและเขาตั้งความเชื่อของเขา ที่ได้ทำให้โลกนี้เป็นอัมพาต ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งความเชื่อของพวกคุณจะทำให้ความเย้ายวนใจเป็นอัมพาตหรือความเย้ายวนใจจะทำให้ความเชื่อของพวกคุณเป็นอัมพาต ตอนนี้พวกคุณจะต้องเลือกอย่างหนึ่งหรืออย่างที่เหลือ และพวกคุณจะเห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงไม่เปลี่ยนแปลง

และตอนนี้พวกเราพบวันนี้ว่า พวกคนทั้งหลายในปัจจุบันนี้-ดูเถิดครับ พวกเขามองไปยังสิ่งที่ยิ่งใหญ่ องค์กรใหญ่โต “ผมเป็นสมาชิกของที่นี่และที่นั่น เห็นไหมครับ? และพวกเขาลงไปที่นั่นและมอง ไม่มีความแตกต่างจากพวกผู้คนบนถนน ไม่มีสิ่งอื่นๆ... พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างภูมิปัญญาเล็กน้อยที่พวกคุณต้องการ... เมื่อพวกคุณพูดคุยเกี่ยวกับการเยียวยารักษาโรคของพระเจ้า เสาเพลิง แสงสว่างของพระเจ้า พวกเขากล่าวว่า “นั่นเป็นเกี่ยวกับจิตใจ”

เมื่อวันก่อนผู้ชายคนหนึ่งได้หยิบภาพทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นมา ผู้รับใช้นิกายแบ๊บติสต์ก็หัวเราะเยาะ ดูเถิดครับ นั่นคือการดูหมิ่น ไม่มีการยกโทษให้อภัยสำหรับสิ่งนั้น

นั่นคือสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า มันเป็นการดูหมิ่น เมื่อพวกคุณเห็นมันด้วยการทำการงานจริงๆ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำ และพระองค์ทรงกล่าวว่า เมื่อพวกเขาได้เห็นการงานต่างๆ ในพระคริสต์-พระองค์ทรงเป็นเครื่องถวายบูชา-และพวกเขาเรียกพระองค์ว่า “เบเอลเซบุบ” มารร้ายเพราะพระองค์ทรงกำลังกระทำมัน และตอนนี้พวกเขากล่าว-พระองค์ตรัสว่า “เรายกโทษให้อภัยเจ้าสำหรับสิ่งนั้น แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเพื่อทรงกระทำสิ่งเดียวกัน ท่านพูดถ้อยคำที่ต่อต้านพระองค์ ท่านจะไม่ได้รับการยกโทษให้อภัยในโลกนี้หรือโลกหน้า” เห็นไหมครับ?

เพียงคำเดียวเป็นทั้งหมดที่คุณจะพูดต่อต้านพระองค์ เห็นไหมครับ? และดังนั้น –เพราะถ้าหากชีวิตนั้น-ถ้าหากคุณได้ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว ชีวิตนั้นจะระเบิดออกมาเมื่อคุณได้เห็นมัน คุณจะรับรู้มันได้เหมือนผู้หญิงผู้เล็กน้อยที่บ่อนํ้าและพวกคนทั้งหลายที่แตกต่าง แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่นั่นก็ไม่อาจมีชีวิตได้ เพราะไม่มีอะไรที่จะมีชีวิตที่นั่น ดั่งที่คุณแม่ผู้ชราภาพของผมเคยบอกว่า “เจ้าไม่สามารถขูดเลือดจากหัวผักกาดได้” เพราะไม่มีเลือดในมัน ตอนนี้นั่นเป็นสิ่งเดียวกันและมันทำให้สิ่งที่เป็นความเชื่อเล็กน้อยที่คุณมีอยู่เป็นอัมพาตได้

โลทได้เห็นความเย้ายวนใจ แต่เขาไม่มีความเชื่อเพียงพอที่จะเห็นไฟที่จะทำลายความเย้ายวนใจนั้น ผมแปลกใจว่า ถ้าหากพวกเรามีวันนี้? ผมแปลกใจว่าพวกเรา...พวกผู้หญิงที่อยากจะเป็นที่นิยมซึ่งอยากจะทำตัวเป็นเหมือนส่วนที่เหลือของพวกผู้หญิงในคริสตจักร ถ้าหากพวกเขาเห็นว่าพวกเขาอยากจะทำตัวเหมือนส่วนที่เหลือ พวกเขาสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ของการเป็นผู้หญิงที่สวยขึ้นโดยการถูกแต่งเติมสีสัน พวกเขาสามารถเห็นผู้หญิงสวยขึ้นโดยมีภาพลักษณ์อายุน้อยกว่าโดยการตัดผมของพวกเขาและทำตัวเหมือนคนบางคนหรือพวกดาราหนัง แต่ผมแปลกใจว่า ถ้านั่นไม่ได้ทำให้ความเชื่อของพวกเขาเป็นอัมพาตที่จะรู้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ผู้หญิงที่ทำเช่นนั้นเป็นผู้หญิงที่ไร้เกียรติ และผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนผู้ชายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า กางเกงขายาวและอื่นๆ และกางเกงขาสั้นที่พวกเขากำลังสวมใส่ มันก็จะกลายเป็นใจแข็งกระด้างจนกระทั่งกลายเป็นกิจวัตรประจำวันตามปกติของพวกผู้คนที่ทำมันอยู่ ผมสงสัยว่า ถ้าพวกเขาไม่ได้ทำให้ความเชื่อเล็กน้อยที่พวกคุณมีเป็นอัมพาตแม้กระทั่งจะไปคริสตจักร พวกคุณเห็นไหมครับ? นั่นคือสิ่งที่มันได้ทำ

โลทได้ทำเช่นนั้นและมันทำให้เขาเป็นอัมพาตและพวกคนทั้งหลายของเขาเป็นอัมพาตที่นั่น พวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่อับราฮัมกับความเชื่อที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว (ลุงของเขา) เขาไม่มองที่ความเย้ายวนใจเขาไม่อยากจะทำอะไรกับมัน แม้ว่าเขาจะต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างยากลำบากและมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองกับนางซาร่าห์ ได้ออกมาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ๆ ยากลำบากในการเดินไปบนพื้นดินที่แห้งแล้ง แต่พวกเขาไม่ได้เห็นความเย้ายวนใจหรือความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นที่นิยม นางซาร่าห์หญิงที่สวยที่สุดในแผ่นดิน พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ดังนั้น นางสวย สวยที่สุดในบรรดาผู้หญิงทั้งหมด และตอนนี้นางยังอยู่และเชื่อฟังสามีของนางจนกระทั่งนางเรียกเขาว่า เจ้านายของนาง ผู้ที่พระคัมภีร์ไบเบิลอ้างถึงอย่างแน่นอนในพันธสัญญาใหม่กล่าวไว้ว่า “ท่านเป็นลูกสาวของใครตราบนานเท่านานที่ท่านปฏิบัติตามความเชื่อ” ดูเถิดครับ-ได้เรียกสามีของนางว่า เจ้านายของนาง

และทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้เยี่ยมเยียนวิหารของพวกเขาหรือเต็นท์เล็กๆ ของพวกเขาที่นั่น และบอกพวกเขาว่า พวกเขาไม่ได้มีแม้แต่บ้านที่จะอาศัยอยู่ การอยู่อาศัยออกไปในดินแดนที่แห้งแล้ง และพวกคุณอยู่ที่นั่น พวกคุณจะเห็นรูปแบบของวันกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพียงแค่เหมือนกับสิ่งที่เคยเป็นแล้ว?

ตอนนี้โมเสสด้วยความเชื่ออันยิ่งใหญ่ของเขาอีกครั้งหนึ่งอาจจะพูดว่า “ไม่” สำหรับสิ่งต่างๆ ในเวลานั้นของโลกเวลานั้นและเลือกทางเลือกอันชอบธรรม เขาเลือกที่จะประสบความทุกข์ยากกับประชากรของพระเจ้า เขาเลือกที่จะไปกับมัน ทำไมเล่าครับ? ความเชื่อของเขา เขาเห็นพระสัญญา เขาเห็นยุคสุดท้าย เขาล่วงรู้ในวันพรุ่งนี้และเขาปล่อยให้ความเชื่อของเขาหลุดลอยไป และเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่ตาของเขาได้เห็นในความเป็นไปได้ที่นี่ว่าเขาได้เป็นฟาโรห์และกำลังจะเป็นฟาโรห์ เขามองตรงไปอย่างแน่นอนในวันพรุ่งนี้

โอ้ ถ้าหากพวกคนทั้งหลายสามารถทำอย่างนั้นได้เท่านั้น! ไม่ได้เห็นแก่โลกปัจจุบัน ถ้าหากพวกคุณมองดูที่โลกปัจจุบันนี้ พวกคุณให้ทางเลือกกับมัน จงซ่อนดวงตาของพวกคุณจากสิ่งนั้นและมองที่พระสัญญาของพระเจ้า หนทางทั้งหมดในวันพรุ่งนี้ ด้วยความเชื่อของเขาที่เขาสามารถเลือกได้ เขาได้เลือกที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของอับราฮัมและปฏิเสธที่จะได้ชื่อว่าเป็นพระโอรสของฟาโรห์ เขาทำได้อย่างไร เมื่อทั่วราชอาณาจักรทั้งหมด อียิปต์ได้ชนะโลก เขาได้เป็นกษัตริย์แห่งโลกนี้และเป็นชายหนุ่มอายุสี่สิบปีที่นี่ที่พร้อมจะครอบครองบัลลังก์ แต่เขาไม่เคยมองที่ ... ของเขา

มองดูที่พวกผู้หญิงที่จะถูกวางไว้รอบๆ ตัวเขาในแต่ละวัน ฮาเร็มต่างๆ ของพวกเขา มองดูที่ความเย้ายวนใจด้วยการนั่งและดื่มไวน์และชมระบำเปลื้องผ้าต่อหน้าเขา ขณะที่พวกเขาเต้นและพัดวีเขา พวกผู้หญิงจากทั่วทุกมุมโลกและอัญมณีและทรัพย์สมบัติต่างๆ และกองทัพของเขาที่อยู่ภายนอกที่นั่น สิ่งเดียวที่เขาต้องทำเท่านั้นคือ การนั่งรับประทานอาหารรสเลิศของเขาและกล่าวว่า “จงส่งจำนวนทหารกองทัพ-และเพื่อให้ลงไปเพื่อ-และเพื่อยึดประเทศนั้น เราเชื่อว่าเราเพียงแค่ต้องการมัน” นั่นคือทั้งหมดที่เขาจะต้องทำ นั่งที่นั่นและพวกหล่อนพัดวีเขาและอ้าปากของเขาให้เปิดออก ให้พวกนางระบำเปลื้องผ้าที่สวยงามน่ารักของวันนั้น เทไวน์เข้าไปในปากของเขา ป้อนอาหารให้เขาด้วยแขนของพวกหล่อนที่อยู่รอบๆ ตัวเขา พวกผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกทั้งหมด

ความเย้ายวนใจทั้งหมดที่มี ถูกวางอยู่ ณ ที่ตรงนั้นกับเขา แต่เขาได้ทำอะไรเล่าครับ? เขามองออกไปจากสิ่งนั้น เขาล่วงรู้ว่าไฟพร้อมแล้วสำหรับสิ่งนั้น เขาล่วงรู้ว่าความตายถูกวางอยู่ในเส้นนั้นแล้ว ดูเถิดครับ เขาล่วงรู้ว่ามันอยู่และเขามองไปยังฝูงชนที่ดูหมิ่นและปฏิเสธ และโดยความเชื่อเขาเลือกที่จะทนทุกข์กับความอัปยศของพระคริสต์และเรียกตัวเองว่า “เราเป็นบุตรของอับราฮัม เราไม่ได้เป็นโอรสของฟาโรห์องค์นี้ แม้ว่าท่านทั้งหลายจะทำให้เราเป็นบาทหลวงหรือมัคนายกหรือหัวหน้าบาทหลวงหรือสมเด็จพระสันตะปาปา เราไม่ได้เป็นบุตรของพวกนี้ เราเป็นบุตรของอับราฮัมและแยกตัวของเราเองออกจากสิ่งของต่างๆ ของโลก” อาเมน อาเมนและอาเมน!

ได้ทำสิ่งนั้นด้วยความเชื่อ 

เขาได้นำความเย้ายวนใจออกไป เขาได้นำความเป็นไปได้ของการเป็นบาทหลวงคนต่อไป เขาได้นำความเป็นไปได้ของการเป็นหัวหน้าบาทหลวงคนต่อไปหรือหัวหน้าแม่ทัพคนต่อไปในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือสิ่งใดก็ตามที่มันเป็น เขาได้นำสิ่งนั้นออกไป เขาได้ปฏิเสธที่จะมองไปที่มัน

ตอนนี้ “ถ้าหากผมกลายเป็นบาทหลวง ผมจะเดินเข้าไป พวกคนทั้งหลายจะกล่าวว่า 'บิดาศักดิ์สิทธิ์' หรือ 'ดร. นี่และนั่น' หรือ 'ผู้อาวุโส นี่และนั่น' พวกเขาจะ... พวกพันธกรทั้งหมดในที่ประชุมพวกเขาจะแตะผมที่ด้านหลังและกล่าวว่า 'เด็กชาย พูดได้ว่า ผู้ชายคนนั้นมีบางสิ่งบางอย่าง ผมกำลังบอกคุณ 'โอ้! 'จุ๊-จุ๊-จุ๊ อยู่นิ่งๆ นี่บาทหลวง สิ่งที่เขาพูดนั่นเป็นกฎหมาย 'นี่มาดังนี้และดังนั้น' “พวกคนทั้งหลายจะบินไปทั่วโลกเพื่อจะ... พบสมเด็จพระสันตะปาปาจุมพิตเท้าและแหวนและสิ่งอื่นๆ ช่างเป็นสิทธิอะไรของพวกคาทอลิก ช่างเป็นสิทธิอะไรของพวกโปรเตสแตนต์ที่จะเป็นบาทหลวงหรือผู้ดูแลทั่วไปหรือบางสิ่งบางอย่าง ผู้ยิ่งใหญ่บางคนในองค์กรหนึ่ง

ด้วยการมองดู...โอ้ แต่พวกคุณเห็นดวงตาแห่งความเชื่อที่มองข้ามด้านบนของสิ่งนั้น และพวกคุณเห็นจุดจบของมันที่นั่นที่ๆ พระเจ้าทรงกล่าวว่า สิ่งทั้งหมดจะถูกทำลาย ความเชื่อ ตานกอินทรีนั้นยกพวกคุณขึ้นเหนือสิ่งนั้นและพวกคุณจะเห็นวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้ และเลือกที่จะถูกเรียกว่าเป็นบุตรของอับราฮัม

ฟาโรห์ด้วยไม่มีความเชื่อก็เห็นพวกบุตรของพระเจ้าเป็นพวกคลั่งไคล้ ไม่มีความเชื่อ เขาทำให้พวกเขาเป็นทาสเพราะเขาไม่กลัวสิ่งที่เขาพูด เขามิได้ยำเกรงพระเจ้า เขาคิดว่าเขาเป็นพระเจ้า เขาคิดว่าพระต่างๆ ของเขาที่เขาได้ปรนนิบัติ-เขาได้เป็นบาทหลวง เขาได้เป็นแม่ทัพ- พระต่างๆ ของเขาเป็นผู้ที่ได้ทำเรื่องนั้นให้ ไม่มีอะไรสำหรับสิ่งนี้ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงทำให้พวกเขาเป็นทาส เขาหัวเราะเยาะพวกเขา-ทำให้พวกเขาเป็นตัวตลก เหมือนกับที่พวกคนทั้งหลายได้ทำในปัจจุบันนี้ สิ่งเดียวกันจริงๆ

ความเชื่อของโมเสสที่ได้เห็นพวกเขาในดินแดนแห่งพระสัญญา ประชากรแห่งพระพร มันอาจจะเป็นการต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อให้พวกเขาไปยังพระสัญญา แต่โมเสสได้เลือกที่จะไปกับพวกเขา (ผมจะสามารถวางสิ่งนั้นได้อย่างไร เพราะเวลาของผมกำลังจะหมดลง เห็นไหมครับ?)

สังเกตไหมครับว่า มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำให้พวกคนเหล่านั้นหันกลับมา “คุณต้องไปอยู่กับพวกเขา คุณจะต้องเป็นคนหนึ่งของพวกเขา และพวกเขามีภูมิปัญญามากแล้วที่คุณไม่สามารถเคลื่อนพวกเขาได้ เห็นไหมครับ? นอกจากต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น ต้องมีสิ่งเหนือธรรมชาติสำแดงให้เห็นต่อหน้าพวกเขา มันจะเป็นสิ่งที่ยาก พวกองค์กรจะควํ่าคุณลงและสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวในสิ่งที่คุณต้องทำ แต่ยังทำให้คุณเลือก”

“ผมเป็นคนหนึ่งในพวกเขา” ความเชื่อของพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งนั้น ความเชื่อของพระองค์ได้ทรงจุดประกาย ใช่ครับท่าน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นมัน

มันเป็นสิ่งที่ยากที่จะนำพวกเขาไปยังพระสัญญานั้นได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาได้เลือกทางเลือกของเขาที่จะไปกับพวกเขา โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำให้เขาและสิ่งที่พวกเขาได้ควํ่าเขาลงไป อย่างไรก็ตามเขาได้ไปแล้วและกำลังออกไปกับพวกเขา

ผมหวังว่าพวกคุณกำลังอ่าน! ไม่เป็นไรครับ อย่างไรก็ตามไปกับพวกเขา ทำให้ผมเป็นคนหนึ่งของพวกเขา ถูกต้องครับ เพราะมันเป็นหน้าที่ของคุณ อาจจะมีการต่อสู้อย่างหนักและมากมายที่จะผ่านไปได้ แต่อย่างไรก็ตามจงไปเถิด

นอกจากนั้นความเชื่อของเขาทำให้เขาที่จะเลือกทางเลือกของพระวจนะและไม่ใช่ความเย้ายวนใจ เขาได้เลือกพระวจนะ นั่นคือสิ่งที่เป็นความเชื่อของโมเสสได้ทำแล้ว

เมื่อความเชื่อมองไปยังสิ่งที่แย่ที่สุดของพระเจ้า-จำได้ไหมครับ นี่ก็เป็นความเย้ายวนใจในเวลานี้ของโลก, สูงที่สุด, กษัตริย์ของโลก และเป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้? ในหลุมโคลน, พวกช่างทำโคลน แต่เมื่อความเชื่อ เมื่อความเชื่อมองที่สิ่งที่แย่ที่สุดของพระเจ้าก็ถือว่ามันยิ่งใหญ่กว่าและมีค่ามากกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่อาจจะอวดได้! ใช่ครับท่าน เมื่อความเชื่อมองที่มัน เมื่อความเชื่อสามารถมองเห็นมันได้

เมื่อความเชื่อในพระวจนะสามารถมองเห็นพระวจนะซึ่งได้ปรากฏสำแดงแล้ว สำหรับพวกเขามันมากกว่าความเย้ายวนใจและการเป็นหัวหน้าบาทหลวงทั้งหมดและทุกสิ่งทุกอย่างอื่นๆ ที่คุณอาจจะกล่าวได้ ความเชื่อกระทำสิ่งนั้น คุณอาจเห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด, การเหยียดหยาม, การปฏิเสธ, สิ่งใดก็ตามที่มันอาจจะเป็นได้ ปล่อยให้มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมัน และความเชื่อยังจะยกย่องว่า หนึ่งล้านไมล์สูงกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่สามารถผลิตได้ อาเมน!

นั่นคือแบบที่เราร้องเพลงนั้น “ข้าฯ จะใช้หนทางกับพระเจ้าที่ทรงถูกเหยียดหยาม...“ เห็นไหมครับ? โอ้! เพื่อให้พวกคุณเห็น ความเชื่อมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์นั้นสำเร็จ

โอ้ ผมหวังว่าสิ่งนี้จะเข้าไปข้างใน! ความเชื่อไม่ได้มองที่เวลา ณ ปัจจุบัน ความเชื่อไม่เห็นสิ่งนี้ที่นี่ ความเชื่อเหมือนการมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และทำการตามนั้นโดยเฉพาะ นั่นคือสิ่งที่เป็นความเชื่อ มันเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ และสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์นั้นสำเร็จได้ และความเชื่อดำเนินการผ่านสิ่งนั้น

ความเชื่อเป็นนิมิตระยะยาว มันไม่ได้ตํ่ากว่าสายตาที่มองเห็นได้ของมัน มันยึดถือเป้าหมาย อาเมน! นักยิงปืนที่ดีทุกคนรู้เรื่องนั้น เห็นไหมครับ? มันเป็นระยะยาว มันเป็นกล้องโทรทรรศน์ มันเป็นกล้องส่องทางไกลทีคุณไม่ได้มองไปรอบๆ ที่นี่ คุณไม่ได้ใช้กล้องส่องทางไกลมองไปเห็นว่ามันเป็นเวลาใด เห็นไหมครับ? คุณไม่ได้ใช้สิ่งนั้น แต่คุณใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อมองออกไปไกลๆ และความเชื่อกระทำอย่างนั้น ความเชื่อหยิบกล้องส่องทางไกลของพระเจ้าทั้งสองของพวกเขา ทั้งสองฝ่ายทั้งพันธสัญญาเก่าและใหม่และเห็นทุกๆ พระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และความเชื่อเห็นมันออกมาจากที่โน่น และความเชื่อเลือกสิ่งนั้นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เป็นปัจจุบันกาลที่ได้กล่าวไว้ที่นี่ เขามองที่จุดปลายสุด

เขาไม่ได้ละสายตาของเขาลงเพื่อมองดูทางนี้ เขามองออกไปยังที่โน่น เขารักษาเป้าหมายที่แน่ชัดบนพระวจนะ นั่นคือสิ่งที่เป็นความเชื่อ นั่นเป็นความเชื่อที่อยู่ในคนที่ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้

ทีนี้ให้จับตาดู สิ่งที่ฟาโรห์เรียกว่ายอดเยี่ยม พระเจ้าทรงเรียกว่าสิ่งที่น่ารังเกียจ ฟาโรห์อาจได้กล่าวว่า “จงมองดู โมเสส ที่นี่... เพราะเจ้าเป็นฟาโรห์องค์ต่อไป เรามอบคทานี้ให้เจ้าเมื่อเราออกจากที่นี่ เรามอบคทานี้ให้ มันเป็นของเจ้า” เห็นไหมครับ? ตอนนี้นี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยม “เจ้ากำลังจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ โมเสส เจ้ากำลังจะเป็นบาทหลวง เจ้ากำลัง

จะได้รับตำแหน่งนี้ ตำแหน่งนั้นหรือตำแหน่งอื่นๆ จงอย่าละทิ้งพวกเรา เจ้าจงอยู่ที่นี่” แต่กระนั้นพวกคุณเห็นไหมครับ เขาเรียกว่ายอดเยี่ยม และพระเจ้าทรงกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

ตอนนี้พวกคุณพวกผู้หญิงให้คิดหนึ่งนาที-พวกคุณพวกผู้ชายด้วยเช่นกัน สิ่งที่โลกเรียกว่า ยอดเยี่ยม พระเจ้าทรงเรียกว่า สิ่งที่น่ารังเกียจ พระคัมภีร์ไบเบิลมิได้กล่าวหรือว่า มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับผู้หญิงที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเยี่ยงผู้ชาย? และพวกคุณคิดว่าพวกคุณฉลาดในการทำสิ่งนั้น ดูเถิดครับ คุณเพียงแค่อวดเนื้อหนังของผู้หญิงแก่พวกมารร้าย นั่นแหล่ะครับ ดังนั้นจงอย่าทำอย่างนั้น

พวกคุณพวกผู้ชายที่ดำเนินชีวิตไปตามสิ่งของที่เป็นของโลกและกำลังติดตามสิ่งนี้อยู่ และพวกคุณพวกผู้ชายที่ไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะทำให้ภรรยาและคนอื่นๆ ของพวกคุณเลิกทำเรื่องนั้น พวกคุณน่าละอายใจ เรียกตัวพวกคุณเองว่าเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้า สำหรับผมแล้วดูเหมือนพวกชาวเมืองโสโดม ดูเถิดครับ ไม่ได้จะทำร้ายความรู้สึกของพวกคุณ แต่จะบอกความจริงกับพวกคุณ ความรักคือการแก้ไข มันเป็นเช่นนั้นเสมอ

มารดาจะไม่ดูแลลูกของนาง, แก้ไขเขาให้ถูกต้อง, และตีเขา, และให้เขาเอาใจใส่หรือ ไม่มากเลยที่มารดาจะทำอย่างนั้นเพื่อเขา นั่นถูกต้องครับ

ทีนี้ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ โมเสสได้เห็นสิ่งนี้โดยนิมิตของเขา และฟาโรห์กล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม”

พระเจ้าตรัสว่า “มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ” ดังนั้นโมเสสจึงเลือกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกล่าวไว้

ทีนี้สังเกตว่า ความเชื่อมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกคุณได้เห็น ดูเถิดครับ ความเชื่อมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น และเหตุผลและความรู้สึกสัมผัสเป็นสิ่งที่โลกต้องการให้พวกคุณที่จะเห็น สังเกตไหมครับว่า เหตุผล... “ทำไมมันเป็นเพียงความรู้สึกของมนุษย์ มันเป็นเหตุผลเดียวที่เป็นแบบนี้... ดีล่ะ ไม่เพียงแค่เป็นสิ่งที่ดีเท่านั้น” เห็นไหมครับ? นั่นเป็นเพียงว่าเมื่อพวกคุณใช้ความรู้สึกเหล่านั้นซึ่งขัดแย้งกับพระวจนะ ดังนั้นนั่นเป็นสิ่งที่โลกต้องการให้พวกคุณเห็น แต่ความเชื่อไม่ได้ดูที่สิ่งนั้น ความเชื่อดูสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวไว้ เห็นไหมครับ? พวกคุณไม่-พวกคุณโยนพวกเหตุผลทิ้งไป... 

ด้วยความรู้สึกที่เป็นเหตุผลมองเห็นในสิ่งที่โลกต้องการให้พวกคุณเห็น-นิกายใหญ่ๆ ทั้งหลาย

“คุณเป็นคริสเตียนหรือครับ?”

“โอ้ ผมเป็นเพรสไบทีเรียน”, “เมธอดิสท์”, “ลูเทอแรน”, “เพนเทคอสต์” อะไรอีกเล่าครับ “ผมเป็นพวกนี้, พวกนั้นหรือพวกอื่นๆ” นั่นเป็นความรู้สึกต่างๆ “ผมเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่หนึ่ง” “โอ้ ผมเป็นคาทอลิก” ผมเป็นพวกนี้, พวกนั้น” เห็นไหมครับ?

คุณบอกอย่างนั้น ตอนนี้สิ่งนั้นเป็นความรู้สึก คุณชอบที่จะบอกว่าเพราะมันเป็นนิกาย บางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่โต... “ดีล่ะ พวกเรามีสมาชิกมากกว่าคริสตจักรใดๆ ในโลกนี้” เห็นไหมครับ? แต่มีเพียงคริสตจักรที่แท้จริงเพียงแห่งเดียวเท่านั้นและคุณมิได้เข้าร่วม คุณได้บังเกิดในนั้น ดูเถิดครับ และถ้าหากคุณได้บังเกิดในนั้นแล้วพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ทรงกระทำการด้วยพระองค์เองผ่านคุณได้ เพื่อจะทรงกระทำให้พระองค์เองทรงเป็นที่รู้จัก ดูเถิดครับ นั่นเป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในคริสตจักรของพระองค์

พระเจ้าเสด็จไปที่คริสตจักรทุกวัน ทรงสถิตย์อยู่ในคริสตจักร พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในคุณ คุณเป็นคริสตจักรของพระองค์ คุณเป็นวิหารที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ ตัวของคุณเองเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และถ้าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงสถิตย์อยู่ในมนุษย์ที่มีชีวิตของพระองค์ ดังนั้นการกระทำของคุณก็เป็นของพระเจ้า ถ้าหากมันไม่ใช่ดังนั้นแล้วพระเจ้ามิได้ทรงสถิตย์อยู่ที่นั่น พระองค์จะไม่ทรงกระทำให้คุณทำตัวเช่นนั้นเมื่อพระองค์ทรงกล่าวในพระวจนะพิมพ์เขียวของพระองค์ที่นี่ว่า “จงอย่าทำอย่างนั้น” และคุณไปทำอย่างนั้น ดูเถิดครับ นั่นคือสิ่งที่ผิด เมื่อคุณปฏิเสธพระวจนะ ดังนั้นนั่นแสดงให้เห็นว่า ชีวิตไม่ได้มีแม้แต่ในคุณเลย เห็นไหมครับ ถูกต้องครับ

ความเชื่อได้นำโมเสสไปยังเส้นทางของการเชื่อฟัง สังเกตไหมครับว่า โมเสสทำให้... มีฟาโรห์หนุ่ม มีโมเสสหนุ่ม พวกเขาทั้งสองกับโอกาสนั้น

โมเสสได้เห็นคำประณามของประชาชนและได้นับมันว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมดที่อียิปต์มี และเขาได้รับการทรงนำโดยความเชื่อ เขาได้ติดตามสิ่งที่ความเชื่อของเขาที่ได้กล่าวไว้ในพระวจนะ และมันได้นำเขาไปสู่เส้นทางของการเชื่อฟังและในที่สุดก็นำไปสู่พระสิริ ความเป็นอมตะ-ที่ไม่เคยตาย-ในการทรงสถิตของพระเจ้า

สายตาที่มองเห็นและความรู้สึกทั้งหลายและความเย้ายวนใจได้นำฟาโรห์ให้ไปสู่ความตายและการทำลายล้างของอียิปต์ ประเทศของเขาและมันไม่เคยกลับมาได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นั่นแหละครับ มองดูสิ่งนี้ คุณตาย มองดูสิ่งนั้น คุณเป็นอยู่ ตอนนี้คุณเลือกทางเลือกของคุณ

นั่นคือสิ่งเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงวางไว้ต่อหน้าอาดัมและเอวาไว้ในสวนเอเดน เห็นไหมครับ ด้วยความเชื่อคุณต้องเลือกทางเลือกของคุณ ตอนนี้สังเกตไหมครับว่า สิ่งที่มองเห็นได้นำฟาโรห์ไปสู่ความตายและการทำลายล้างของเมืองของเขา โมเสส ด้วยความเชื่อของเขามิเคยได้ยำเกรงฟาโรห์ เห็นไหมครับ เขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฟาโรห์กล่าว เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับฟาโรห์มากไปกว่าที่ได้สนใจมารดาของเขาและบิดาของเขาเกี่ยวกับภัยคุกคาม เมื่อโมเสสได้รับการยืนยันกับเขาว่า เขาเป็นคนๆ นั้นที่ได้ถูกส่งไปอียิปต์หรือพาพวกอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ เขาไม่เคยสนใจสิ่งที่ฟาโรห์กล่าว ฟาโรห์ไม่ได้ทำให้เขากลัว อาเมน อาเมน อาเมน! คุณเห็นสิ่งที่ผมหมายถึงไหมครับ

ไม่มีความกลัวในความเชื่อ ความเชื่อรู้เกี่ยวกับมัน ความเชื่อที่ผมเคยพูดเสมอว่า มันมีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่มากและขนบนหน้าอก ความเชื่อกล่าวว่า “จงหุบปาก!” และทุกคนหุบปาก นั่นแหล่ะครับ “ผมรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน!”

คนส่วนที่เหลือของพวกเขาบอกว่า “ดีล่ะ เขาอาจจะทำ” นอกจากนั้นคุณจะต้องยืนขึ้นและแสดงให้เห็นกล้ามเนื้อของคุณ นั่นแหล่ะครับ ความเชื่อทำอย่างนั้นได้

สังเกตไหมครับว่า โมเสสไม่เคยกลัวฟาโรห์หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์การทรงเรียกของเขา เมื่อโมเสสเชื่อว่าเขาได้รับการทรงเรียกสำหรับเรื่องนั้น แต่กระนั้นเมื่อพระเจ้าทรงบอกเขาที่นั่นว่า “มันเป็นเช่นนั้น” และได้ลงมาและได้แสดงต่อฟาโรห์และพวกคนส่วนที่เหลือทั้งหมดของพวกเขาว่า เขาถูกส่งไปเพื่อทำเรื่องนั้น โมเสสไม่เคยรู้สึกกลัวฟาโรห์เลย

สังเกตไหมครับว่า ฟาโรห์ได้ใช้ภูมิปัญญาของเขากับสิ่งที่โมเสสคิด ให้จับตาดู เขากล่าวว่า “เราจะบอกอะไรเจ้า เราจะทำข้อตกลงกับเจ้า” (หลังจากที่ภัยพิบัติทั้งหลายได้กัดกินเขาแล้ว) กล่าวว่า “เราจะทำข้อตกลงกับเจ้า เจ้าเพียงแค่ไปเคารพสักการะบูชาเล็กๆ น้อยๆ สามวัน จงไปให้ไกล และจงอย่าไปไกลกว่านั้น” แต่พวกคุณรู้ไหมครับว่า นั่นเป็นความรู้สึกของฟาโรห์ที่บอกเขาอย่างนั้นว่า “เจ้าจงไปให้ไกลและจงอย่าไปไกลกว่านั้น”

พวกเรายังไม่ได้มีแบบนั้นในยุคนี้หรือครับ? “ถ้าหากคุณเพียงแค่เข้าร่วมคริสตจักร ใช่แล้วครับ” แต่คุณรู้จักความเชื่อที่โมเสสไม่ได้เชื่อใน “ศาสนาอย่างนั้น”

เขากล่าวว่า “พวกเราทุกคนจะไป พวกเรากำลังจะไปบนหนทาง ถูกต้องครับ พวกเรากำลังจะไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา พวกเราไม่ได้เพียงแค่ออกไปที่นี่และสร้างนิกายและหยุด พวกเราดำเนินไปตลอด” อาเมน “ผมจะไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา พระเจ้าได้ทรงสัญญากับพวกเราแล้ว”

ปัจจุบันนี้พวกเรามีฟาโรห์กี่องค์ที่กำลังยืนอยู่บนธรรมาสน์? -พวกหัวหน้าขององค์กรต่างๆ “ตอนนี้ถ้าหากคุณเพียงแค่ทำอย่างนี้และทำอย่างนั้น นั่นแหล่ะ ... ดีล่ะ เห็นไหม เพียงแค่อย่างนั้น”

แต่กระนั้นโมเสสกล่าวว่า “โอ้ไม่! ไม่ ไม่ ไม่” เห็นไหมครับ?

ฟาโรห์กล่าวว่า “ดีล่ะ ทำไมไม่-ถ้าหากเจ้ากำลังจะมีศาสนาแบบนั้น เราจะบอกเจ้า สิ่งที่เจ้าทำ เพียงแค่เจ้าและผู้อาวุโสทั้งหลายไปนมัสการ เห็นไหม? เพียงแค่เจ้าและผู้อาวุโสทั้งหลายไปนมัสการ เพราะว่าพวกเจ้าทุกคนอาจจะมีศาสนาแบบนั้นได้ แต่จงอย่านำมันมาในท่ามกลางประชาชนนี้”

พวกคุณรู้ไหมครับว่าโมเสสได้กล่าวอะไร? “จะไม่มีแม้แต่สัตว์ที่มีกีบสักตัวหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พวกเรากำลังเดินทางไปตลอดทางนั้น พวกเราทุกคนกำลังจะไป! เราจะไม่ไปจนกว่าพวกเขาจะไปและตราบใดที่เราอยู่ที่นี่ เราอยู่ในมือของท่านทั้งหลาย! อาเมน เราจะไม่ไปจนกว่าพวกเขาจะไปด้วย นั่นคือทั้งหมด”

โอ้ ช่างเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่กล้าหาญจริงๆ! อาเมน “เราอยากจะพาพวกเขาไปกับเรา เพียงเพราะว่าเรามีมัน-และเรานั่งลงและกล่าวว่า 'ดีล่ะ ตอนนี้ นี่ไม่เป็นไร' ไม่ครับท่าน พวกเราต้องการประชาชนด้วยเช่นกัน ทุกคนของพวกเรากำลังจะไป” อาเมน เขากล่าวว่า “และพวกเราจะไม่แม้แต่จะทิ้งแกะของพวกเราหรือทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลังเลย จะไม่มีสัตว์ที่มีกีบสักตัวหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พวกเราทุกคนจะไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา (อาเมน)-พวกเราทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นแม่บ้าน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรับใช้ผู้เล็กน้อย หรือไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงชรา หรือชายหนุ่ม หรือชายชรา หรือคุณจะเป็นใครก็ตามแต่ อย่างไรก็ตามพวกเรากำลังจะไป จะไม่มีพวกเราสักคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ อาเมน พวกเราทุกคนจะไปหรือพวกเราจะไม่หยุด ณ ที่อื่นใดเลย” นั่นถูกต้องครับ

โอ้ ศาสนาของพวกเขาเป็นการอภิปรายที่นั่นจริงๆ หรือมันไม่ใช่? โอ้ ไม่ครับ โมเสสไม่ได้เพียงแค่เชื่อในสิ่งนี้ที่นี่ “ศาสนาทั่วไป” ไม่ครับ เขาไม่เชื่อในสิ่งนั้น ใช่ครับท่าน โอ้ พวกเราอาจจะอยู่ทั้งวันกับสิ่งนั้นได้ แต่ผมต้องได้รับข้อความของผมหลังจากขณะหนึ่งและเริ่มการเทศนา

สังเกตสิ่งนี้ไหมครับว่า ช่างสวยงามเพียงไร-โอ้ ผมรักสิ่งนี้ พวกคุณรู้ว่าในที่สุดฟาโรห์ตรัสว่า “จงออกไป!” พระเจ้าทรงเพียงติดต่อเขาด้วยเสียงของโมเสส พระองค์ทรงหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่นั่นที่จะต้องทรงกระทำให้สำเร็จ พระองค์ทรงหยุด... พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ตกในตอนกลางวัน พระองค์ได้ทรงกระทำอย่างอื่นอีก พระองค์ทรงกระทำให้กลางวันมืดมิด พระองค์ทรงนำฝูงกบ, ฝูงเหลือบ, ฝูงริ้น, สิ่งอื่นๆ ไฟ, ควัน และความตายให้กับครอบครัวของเขาและสิ่งอื่นๆ พระองค์ได้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างจนในที่สุดฟาโรห์ต้องกล่าวว่า “จงออกไป! จงนำทั้งหมดที่เจ้ามีและไป” โอ้ สรรเสริญพระเจ้า!

ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่คนๆ หนึ่งสามารถปรนนิบัติพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์จนกระทั่งพวกมารร้ายไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขา เพียงแค่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งมารร้ายกล่าวว่า “โอ้ จงหนีไป เราไม่อยากจะได้ยินมันอีก” นั่นแหล่ะครับ คุณอาจจะทำมันได้อย่างสมบูรณ์มากๆ

ดูตอนนี้ ถ้าหากพระเจ้ามิได้ทรงรับรองโมเสส จากนั้นเขาก็จะกลายเป็นตัวตลก แต่พระเจ้าทรงยืนยันอยู่ ณ ที่นั่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากล่าวแล้วจึงได้เกิดขึ้น

และฟาโรห์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาไว้เพราะเขาเป็นบาทหลวง พวกคุณรู้ไหมครับ ดังนั้นเขาต้องอยู่ที่นั่น เขามิอาจจะบอกว่า “ไม่” เพราะว่ามันกำลังได้เกิดขึ้นแล้ว เห็นไหมครับ? เขามิอาจจะปฏิเสธมันได้เพราะว่ามันกำลังได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นในที่สุดเขากล่าวว่า “โอ้ จงออกไป เราไม่อยากจะฟังเจ้าอีกต่อไป จงออกไปจากที่นี่ จงนำทั้งหมดที่เจ้ามีและไป” โอ้

ทีนี้พวกเราพบโมเสสที่นี่หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการมากมายสำหรับเขาและได้ทรงสำแดงให้เขาเห็นบรรดาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย...

ตอนนี้สำหรับสิบห้านาทีต่อไปนี้ ให้พวกเราวางสิ่งนี้ลงที่นี่ ให้จับตาดูอย่างใกล้ชิด

โมเสสมาถึงจุดนี้สถานที่ซึ่งเขา...พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราอยู่กับเจ้า เจ้ากล่าวว่า 'จงมีฝูงริ้น' และฝูงริ้นก็มา” นั่นคือการทรงสร้าง ใครจะสามารถนำความมืดมาเหนือแผ่นดินโลกได้นอกจากพระเจ้าเล่า? “เจ้ากล่าวว่า 'จงมีความมืด' และก็มีความมืดมา เจ้ากล่าวว่า ‘จงมีฝูงกบ’ และแม้แต่ฝูงกบก็ยังมีอยู่ในพระราชวังของฟาโรห์ ในแท่นพระบรรทมทั้งหลาย และเมื่อพวกเขาได้ช้อนพวกมันขึ้นมาในกองที่ใหญ่โต...“ พระผู้สร้าง... “และเราได้พูดผ่านเจ้า โมเสส และทำให้ถ้อยคำของเราเกิดขึ้นผ่านริมฝีปากของเจ้า เราได้ทำให้เจ้าเป็นพระเจ้าของฟาโรห์จริงๆ” ใช่ครับท่าน “เราได้กระทำสิ่งทั้งหมดนี้และที่นี่พวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง” บททดสอบเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมาและโมเสสเริ่มจะร้องไห้ “ข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไรเล่า?”

ผมอยากจะให้พวกคุณสังเกต นี่คือบทเรียนที่ยอดเยี่ยมที่นี่ตอนนี้ ผมชอบสิ่งนี้ ดูเถิดครับ ดูโมเสส ถ้าพวกเราอ่านที่นี่ ณ ตอนนั้นเมื่อประชาชนเริ่มที่จะกลัว พวกเขาเห็นฟาโรห์ตามมาข้างหลังพวกเขาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ...

พระเจ้าได้ทรงดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้พระองค์ทรงเริ่มให้พวกเขาอยู่บนการเดินทางของพวกเขา พระองค์ทรงให้มีคริสตจักรร่วมกัน พวกเขาได้รับการทรงเรียกให้ออกมา พวกเขามาจากทุกนิกาย พวกเขาทั้งหมดมารวมกัน โมเสสได้กลับไปที่นั่นและกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใดเล่า?”

พระองค์อาจจะตรัสว่า “ดีล่ะ จงไปทำสิ่งนี้ ใช่แล้ว จงไปข้างหน้า ตอนนี้โมเสส เจ้ารู้ไหม เราได้เรียกเจ้าให้ทำสิ่งนี้”

“ใช่ พระองค์เจ้าข้า”

“ใช่แล้ว เจ้าจงสั่งสิ่งนี้ มันจะเกิดขึ้น”-ฝูงเหลือบมา “จงสั่งสิ่งนี้”- มันก็มา “จงทำสิ่งนี้”-มันก็ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างคือ พระเจ้าตรัสดังนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้!

ทีนี้เขามีปัญหา

และพระเจ้าตรัสว่า “ตอนนี้เราได้ให้พวกเขาเริ่มต้นในการเดินทาง พวกเขาได้ถูกเรียกให้ออกมาแล้ว คริสตจักรรวมกัน เพราะเราให้พวกเขาอยู่ในการเดินทางของพวกเขา ตอนนี้โมเสสนำพวกเขาทั้งหมดไป เราบอกเจ้า ดูเถิด เราจะนั่งลงและพักผ่อนสักครู่”

โมเสสกล่าวว่า “โอ้ พระองค์เจ้าข้า โปรดทอดพระเนตรมองมายังที่นี่! ฟาโรห์มาที่นี่! ประชาชนทุกคนอยู่ ... ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด! ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด!” เห็นที่นั่นไหมครับ นั่นไม่ใช่เป็นเพียงแค่มนุษย์หรอกหรือ เริ่มจะร่ำไห้ว่า “ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด!”

ที่นี่พวกเราเห็นโมเสสแสดงธรรมชาติของการเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ซึ่งมักจะต้องการพระเจ้าที่ทรงจะอยู่เบื้องหลังคุณและผลักดันคุณไปสู่บางสิ่งบางอย่าง ตอนนี้นั่นคือพวกเราในปัจจุบันนี้ พวกคุณต้องการพระเจ้าหลังจากที่พวกเราได้เห็นทุกอย่างที่พวกเราเคยเห็น แต่พวกคุณยังต้องการพระเจ้าที่จะทรงผลักดันให้พวกคุณทำบางสิ่งบางอย่าง เห็นไหมครับ? โมเสสได้เพียงหยุดพักอยู่รอบๆ กล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กำลังจะทูลขอพระองค์ และดูเถิด สิ่งที่พระองค์ทรงกล่าว”

“ใช่, ใช่” คุณบอกว่า “ดีล่ะ ใช่แล้ว ข้าพระองค์จะทูลสิ่งนั้นด้วย” เห็นไหมครับ?

นอกจากนั้นที่นี่พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งเขาสำหรับพระราชกิจนี้ ได้ทรงพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงสถิตย์อยู่กับเขา และเขาอยู่ที่นี่ สถานการณ์เกิดขึ้นมา และจากนั้นเขาก็เริ่มจะร่ำไห้ว่า “ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด? พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด?”

ตอนนี้จำได้ไหมครับว่า เขาได้เผยพระวจนะไว้แล้วที่นี่ เขากล่าวว่า “พวกคนอียิปต์เหล่านี้ที่ท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ ท่านทั้งหลายจะไม่ได้เห็นอีก” และจากนั้นเริ่มจะร่ำไห้ออกมาในทันทีว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องทำสิ่งใด?” หลังจากที่เขาได้ทำการงานอันดีงามในการเผยพระวจนะ เห็นไหมครับ เขาได้บอกพวกเขาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในเขา มันก็อยู่ในเขา และเมื่อเขากล่าวสิ่งนั้น มันก็ได้เกิดเป็นจริงขึ้นมา-สิ่งที่เขาพูดกำลังจะเกิดเป็นจริงขึ้นมา และที่นี่เขากำลังร่ำไห้ออกมาว่า “ข้าพระองค์จะต้องทำสิ่งใด?”

โอ้ ถ้าหากนั่นไม่ใช่มนุษย์ ถ้าหากนั่นไม่ใช่ข้าพระองค์! ถ้าหากนั่นไม่ใช่ข้าพระองค์! พระองค์ได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า “สิ่งที่เจ้าพูดว่าจะเกิดขึ้น เราอยู่กับเจ้า และนี่เป็นสถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง “ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด? พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด? เฮ้ พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน? เฮ้, พระองค์เจ้าข้า ทรงได้ยินข้าพระองค์ไหม? ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด?” และพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งเขาเรียบร้อยแล้ว และได้ทรงพิสูจน์เขาและได้ทรงทดสอบและได้ทรงกระทำการงานทุกอย่างผ่านเขา และที่นี่-“พระเจ้า” โอ้ ทรงสำแดงอย่างเต็มล้น

มนุษย์อยากจะหยุดพักผ่อนและให้พระเจ้าทรงกระทำการผลักดัน

และเขายังรู้ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมเขาไว้สำหรับการงานนี้ เพื่อทำสิ่งนี้ และพระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงคำกล่าวอ้างของเขา มันเป็นเวลาสำหรับประชาชนที่จะได้รับการปลดปล่อย พระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านบรรดาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ที่ได้ทรงดึงดูดพวกเขาทุกคนเข้ามาด้วยกันในกลุ่มหนึ่ง (พวกคุณตามผมอยู่ใช่ไหมครับ?) ได้ทรงดึงดูดพวกเขาทุกคนเข้ามาด้วยกันในกลุ่มๆ หนึ่ง ได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงคำกล่าวอ้างทั้งหลายของเขา ข้อพระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างนั้น นี่คือหมายสำคัญ นี่คือหลักฐาน ที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้กล่าว ... จากนั้นเขาก็มาในท่ามกลางพวกเขาในฐานะผู้เผยพระวจนะ สิ่งใดก็ตามที่เขาได้กล่าวไว้ พระเจ้าได้ทรงให้เกียรติมัน แม้แต่การทรงสร้างและทรงนำฝูงเหลือบขึ้นมาและทรงนำสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเขา ที่นี่พระองค์ได้ทรงกระทำมันให้สำเร็จได้ แต่กระนั้นเขาก็อยากจะรอให้ พระเจ้าตรัสดังนี้ ดูเถิดครับ

เขาควรจะได้รู้ว่า การได้รับการพิสูจน์อันแน่แท้ของการทรงเรียกของเขาคือ พระเจ้าตรัสดังนี้ การงานของเขาที่เขาถูกแต่งตั้งคือ พระเจ้าตรัสดังนี้ พวกคุณเข้าใจไหมครับ? ทำไมเขาจึงรอให้ พระเจ้าตรัสดังนี้?

เขาต้องการว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไร? ที่นี่ข้าพระองค์ได้นำประชาชนเหล่านี้ออกมาที่นี่ไกลขนาดนี้ นี่คือสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ ฟาโรห์กำลังมา พวกเขาทุกคนกำลังจะตาย ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร? ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?

เขาได้ทำนายถึงสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำเรียบร้อยแล้ว เขาได้บอกเพียงว่าจะต้องทำอย่างไรเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำนายถึงจุดสิ้นสุดของประเทศนั้นๆ ซึ่งเขาได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมา ผมหวังว่าพวกคุณเข้าใจ โมเสสได้กล่าวไว้เรียบร้อยแล้วว่า “พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีกต่อไป พระเจ้าจะทรงทำลายพวกเขา พวกเขาได้ทำให้ท่านทั้งหลายเป็นตัวตลกมานานพอแล้ว พระเจ้าจะทรงทำลายพวกเขา” เขาได้ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาแล้วและ “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?” เห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่นั่นไหมครับ? “ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?” เราจะรอสำหรับ พระเจ้าตรัสดังนี้” ใช่ครับท่าน “เราจะเห็นสิ่งที่พระองค์ตรัส และจากนั้นเราจะทำอย่างนั้น จำได้ไหมครับว่า มีฟาโรห์องค์หนึ่งซึ่งได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาโดยไม่รู้จักโยเซฟ พวกคุณรู้ไหมครับ-ในเวลานั้น ณ เวลานั้น ดูเถิดครับ และโมเสสได้ยืนขึ้นที่นั่นและได้ทำนายจุดสิ้นสุดของประเทศนั้น 

และที่นี่เขาอยู่ ณ สถานที่ซึ่งมันกำลังจะได้เกิดขึ้น และจากนั้นเขาก็ร่ำไห้ออกมาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร? ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?” เห็นไหมครับ?

นั่นไม่ใช่มนุษย์หรือ? นั่นไม่เป็นเพียงแค่ธรรมชาติของมนุษย์หรือ? “ข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไร?” เขาได้ทำนาย ... ไปเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าทรงให้เกียรติทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้กล่าวและเขาได้รับการทรงเรียกสำหรับพระราชกิจนี้ ดังนั้นทำไมเขาจึงต้องทูลว่า “ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?” ถ้าหากมีความจำเป็นแล้วมันเพียงแค่ขึ้นอยู่กับเขาที่จะสั่งมัน พระเจ้าทรงประสงค์ให้โมเสสนำของประทานแห่งความเชื่อที่พระองค์ได้ประทานให้แก่เขาแล้วไปทำพระราชกิจ พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นความจริงและพระเจ้าทรงประสงค์ให้โมเสส-ทรงประสงค์ให้ประชากรเห็นว่าพระองค์ทรงสถิตย์อยู่กับโมเสส และเขากลับไปที่นั่นเขาได้รออยู่ ทูลว่า “ตอนนี้พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นเพียงแค่เด็กทารกคนหนึ่ง ขอพระองค์ทรงบอกข้าพระองค์ในเวลานี้ ใช่แล้ว ข้าพระองค์จะไปทำสิ่งนี้ ข้าพระองค์ได้รับ พระเจ้าตรัสดังนี้”

“บราเดอร์ นั่นคือ พระเจ้าตรัสดังนี้หรือ?”

“ใช่ ใช่แล้ว บราเดอร์โมเสส นั่นคือ พระเจ้าตรัสดังนี้”

“ใช่แล้ว ตกลง พวกเราได้รับตอนนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้”-และมันได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้งหนึ่ง ไม่เคยล้มเหลวจริงๆ 

และที่นี่มันอยู่ภายใต้สถานการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้พระองค์ทรงให้พวกเขาเดินทางไป คริสตจักรได้รับการทรงเรียกให้ออกมา มีพวกเขาในการเดินทางและพวกเขากำลังเคลื่อนขึ้นไป และโมเสสเริ่มจะร่ำไห้ออกมาว่า “พระองค์เจ้าข้า มันคือ พระเจ้าตรัสดังนี้หรือ? ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?”

ใช่แล้วครับ

พระเจ้าทรงประสงค์ให้โมเสสมีความเชื่อว่า พระองค์ได้ประทานของประทานนั้นที่พระองค์ได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างชัดเจน พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นอย่างกระจ่างชัดกับโมเสสและประชากรว่า เป็นพระองค์โดยพระวจนะและจากสิ่งต่างๆ ที่ถูกกล่าวมาได้เกิดขึ้นแล้ว มันได้รับการระบุไว้อย่างชัดเจน เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปเกี่ยวกับมัน ดูเถิดครับ มีไม่มากกว่าของเขากำลังคิดอะไรอยู่เกี่ยวกับมันอีกแล้วเพราะมันกระจ่างชัดแล้ว พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว เขาได้รับการพิสูจน์แล้วโดยฝูงเหลือบและฝูงริ้นที่เขาได้สั่งสิ่งต่างๆ ในการทรงสร้าง พระวจนะของพระเจ้าทรงอยู่ในเขา ดังนั้นที่นี่เขาจะทูลขอพระองค์ในเวลานี้ถึงสิ่งที่ต้องทำเมื่อสถานการณ์ถูกวางอยู่ต่อหน้าเขา ดูเถิดครับ โอ้!

ผมหวังว่าสิ่งนี้จะได้ลงมาสำหรับพวกเรา และพวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเราอยู่ที่ใด เห็นไหมครับ? มันไม่ได้ทำให้พวกคุณรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมครับ? คิดเกี่ยวกับโมเสส บอกความผิดพลาดต่างๆ ของเขา และมองไปที่ของพวกเรา

ที่นี่เขากำลังยืนอยู่ที่นั่น ดูเถิดครับ ได้รู้ว่าข้อพระคัมภีร์ต่างๆ ได้กล่าวไว้ว่า นั่นเป็น ณ วันและเวลาที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น และรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงพบกับเขาในเสาเพลิง และพระองค์เสด็จลงไปที่นั่นต่อหน้าประชากรนั้นและทรงกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านี้และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้แต่ด้วยการนำสิ่งต่างๆ เข้าไปในการทรงสร้าง-การทำสิ่งทั้งหลายที่มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงสามารถกระทำได้เท่านั้น-การสำแดงให้เห็นว่า เสียงของเขาเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และนี่เป็นสถานการณ์ต่างๆ กับประชาชนนั้นที่เขากำลังยกขึ้น กำลังนำไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา และจากนั้นก็กำลังยืนร่ำไห้ว่า “ข้าพระองค์ต้องทำอย่างไร?”

นั่นเป็นเพียงความต้องการของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับ บราเดอร์รอย สล็อทเทอร์ (ผมเชื่อว่าเขานั่งอยู่ข้างนอกประตูที่นั่น) ได้บอกผมครั้งหนึ่งเกี่ยวกับคนที่ทำอะไรให้ผม และผมกล่าวว่า “ดีล่ะครับ ผมได้ทำสิ่งนี้และตอนนี้สิ่งนั้น... “

และเขาก็บอกว่า “บราเดอร์บรานฮาม ให้พวกเขาพิงบนไหล่ของท่านในวันนี้ และวันพรุ่งนี้คุณก็แบกพวกเขาไป”

และนั่นเป็นเพียงวิธีการของมนุษย์ พิงบนไหล่ของคุณในวันนี้และวันพรุ่งนี้คุณก็แบกพวกเขาไป นั่นคือสิ่งที่โมเสสกำลังทำอยู่ พระเจ้าต้องทรงแบกเขาไปตลอดหลังจากที่พระองค์ได้ทรงเจิมตั้งเขาแล้ว และได้ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงกระทำมัน! และประชาชนน่าจะได้กล่าวว่า “โมเสสกล่าวถ้อยคำนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นท่านทำมันที่นั่น พระเจ้าทรงให้เกียรติท่านที่นั่น และวันนี้ท่านเป็นเหมือนกัน “อาเมน เห็นไหมครับ? “จงทำมัน!” อาเมน เขาน่าจะได้รู้แล้ว แต่เขาไม่รู้ ใช่แล้วครับ

เพียงเช่นเดียวกับที่มันเป็นแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นในเวลานี้ พวกเราพบว่า-ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า... 

พระเจ้าทรงเพียงต้องพอแล้วกับมัน พระเจ้าทรงต้องระอากับมันแล้ว พระเจ้าตรัสว่า “ทำไมจึงร้องไห้กับเรา? เรายังไม่ได้พิสูจน์ตัวตนของเราแล้วหรือ? เรายังไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าเราได้ใช้เจ้าไปเพื่อพระราชกิจนี้? เราไม่ได้บอกเจ้าให้ไปทำสิ่งนี้หรือ? เราไม่ได้สัญญาว่าเราจะกระทำสิ่งนี้ที่เราจะอยู่กับริมฝีปากของเจ้าหรือ และเราจะพูดผ่านเจ้าหรือ และเราจะกระทำสิ่งนี้หรือ และเราจะสำแดงบรรดาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ หรือ เราไม่ได้สัญญาว่าจะกระทำมันหรือ? เรายังไม่ได้กระทำและทำลายทุกศัตรูรอบๆ เจ้าเลยหรือ? และนี่เจ้ากำลังยืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ที่ทะเลแดง ณ การปฏิบัติหน้าที่ในสิ่งที่เราบอกให้เจ้าทำ และจากนั้นยังคงตะโกนและร่ำไห้กับเรา เจ้าไม่เชื่อเราหรือ? เจ้าไม่เห็นว่าเราได้ใช้เจ้าให้ไปทำสิ่งนี้หรือ?”

โอ้ ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ โอ้! ดังนั้นเพียงแค่ต้องเบื่อหน่ายกับมันมากเลย 

และพระองค์ตรัสว่า “เจ้ารู้ว่าเจ้ามีความจำเป็น เจ้ารู้ว่าถ้าเจ้ากำลังจะพาประชาชนเหล่านี้ไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา... ที่นั่นจริงๆ... เจ้าได้เขียนขึ้นในมุมหนึ่งที่นี่ ไม่มีอะไรอื่นที่เจ้าสามารถทำได้ จึงมีความจำเป็น เจ้ากำลังร้องไห้กับเราเพื่อสิ่งใด? เจ้ากำลังมองหาเราเพื่ออะไร? เจ้ากำลังร้องเรียกเราเพื่อสิ่งใด? เรายังไม่ได้พิสูจน์มันกับประชาชนหรือ? เรายังไม่ได้พิสูจน์มันกับเจ้าหรือ? เรายังไม่ได้เรียกมันหรือ? มันไม่ได้เป็นข้อพระคัมภีร์หรือ? เราไม่ได้สัญญาว่าจะนำประชาชนพวกนี้ไปยังดินแดนนั้นหรือ? เราไม่ได้เรียกเจ้าและบอกเจ้าว่าเราจะกระทำมันหรือ? เราไม่ได้เรียกและบอกเจ้าว่า เราได้ใช้เจ้าให้ไปทำมันหรือ และมันไม่ได้เป็นเจ้า มันเป็นเราหรือ? และเราลงไปและเราจะอยู่กับริมฝีปากของเจ้า และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าได้กล่าวแล้ว เราจะพิสูจน์มันให้เห็นและพิสูจน์มัน เรายังไม่ได้กระทำมันหรือ? จากนั้นเมื่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมา ทำไมเจ้าทำตัวเหมือนเด็กทารก? เจ้าควรจะต้องเป็นผู้ชายคนหนึ่ง จงสั่งประชาชน!” อาเมน “จากนั้นจงก้าวไปข้างหน้า” อาเมน นั่นแหละครับ “จงอย่าร้องไห้ จงสั่ง!” อาเมน

โอ้ ผมชอบสิ่งนั้น “เจ้ากำลังร้องไห้กับเราเพื่อสิ่งใด? จงสั่งประชาชน และจงก้าวไปข้างหน้าเพื่อวัตถุประสงค์ของเจ้า” อย่างไรก็ตามที่มันเป็น ถ้าหากมันเป็นความเจ็บป่วยของสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะเป็นเพื่อจะฟื้นขึ้นจากความตายหรืออะไรก็ตามที่มันเป็น จงสั่ง! เราได้พิสูจน์มันแล้ว จงสั่งประชาชน”

ช่างเป็นบทเรียนอะไรกันเล่า! ช่างเป็นบทเรียนอะไรกันเล่า! โอ้! ในขั้นตอนของการเดินทางนี้ที่พวกเรากำลังยืนอยู่ ดูสถานที่ซึ่งพวกเราอยู่ตอนนี้-ใช่ครับท่าน!- ณ พันธกิจระยะที่สาม สังเกตไหมครับว่า พวกเราอยู่ ณ ที่นี่ ที่ประตูแห่งการเสด็จมาของพระเยซู

เขาได้รับการเจิมสำหรับพระราชกิจนี้และยังกำลังรออยู่เพื่อ พระเจ้าตรัสดังนี้ พระเจ้าทรงเพียงต้องพอแล้วกับมัน พระองค์ตรัสว่า “จงอย่าร่ำไห้อีกต่อไป จงสั่ง! เราได้ใช้ให้เจ้าไป”

โอ้ พระเจ้า! คริสตจักรนี้ควรจะต้องเป็นสิ่งใดเช้าวันนี้! พระองค์ทรงสมบูรณ์ การได้รับการพิสูจน์ด้วยเสาเพลิงและหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดียวกับที่มันเป็นในยุคของเมืองโสโดม พระองค์ทรงกล่าวว่ามันจะกลับมาอีก นี่คือโลกนี้ที่อยู่ในสภาพของมัน มีประเทศที่อยู่ในสภาพของมัน มีพวกผู้หญิงที่อยู่ในสภาพของมัน มีพวกผู้ชายที่อยู่ในสภาพนั้น มีพวกคริสตจักรที่อยู่ในสภาพนั้น มีทุกสิ่งทุกอย่าง องค์ประกอบต่างๆ, หมายสำคัญ-จานบินต่างๆ และทุกสิ่งทุกอย่างในท้องฟ้า และรูปแบบทั้งหมดของสิ่งลึกลับต่างๆ และทะเลที่ร้องคำราม, หัวใจของพวกคนทั้งหลายที่ล้มเหลวในความกลัวของเวลาอันฉุกละหุก, ความทุกข์ร้อนระหว่างนานาประเทศ, พวกคริสตจักรที่กำลังล้มลง, 

และคนแห่งความบาปที่กำลังผงาดขึ้นผู้ยึดถือตัวเองเหนือสิ่งทั้งปวง-ผู้ที่ถูกเรียกว่า เจ้า, ผู้ที่อยู่ในพระวิหารของพระเจ้าแสดงตัวของเขาเอง โอ้! และมันได้มายังประเทศนี้!

และคริสตจักรได้จัดตั้ง และพวกเขาทุกคนได้มารวมตัวกันเป็นเหมือนพวกโสเภณีเพื่อการค้าประเวณี และทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะของโสเภณีจริงๆ โสเภณี! มันคืออะไร? การบอกพวกผู้หญิงว่า พวกนางสามารถตัดผมของพวกนางได้ การบอกพวกผู้หญิงว่าพวกนางสามารถสวมใส่กางเกงขาสั้นได้ บอกพวกผู้ชายว่า พวกเขาสามารถทำอย่างนี้ และพวกเขาสามารถทำอย่างนั้นได้ และพวกนักเทศน์ให้พวกเขาทำอย่างนี้ และข่าวประเสริฐ สังคม และสิ่งต่างๆ พวกคุณไม่เห็นว่ามันกำลังล่วงประเวณีกับพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าหรือ และพระเจ้าได้ทรงส่งพระวจนะที่แท้จริงที่ไม่มีนิกายของพระองค์มาให้พวกเรา

ไม่มีเชือกผูกติดอยู่กับมันและได้ประทานเสาเพลิงให้กับพวกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตย์อยู่กับพวกเราในเวลานี้เป็นเวลาสามสิบปีแล้วและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำนายไว้และทรงกล่าวไว้ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ว่ามันจะเป็น“

จงสั่งประชาชน และให้ก้าวไปข้างหน้า” อาเมน พวกเรามีวัตถุประสงค์หนึ่งนั่นคือ พระสิริ จงเคลื่อนไปยังสิ่งนั้น พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพวกเขาที่เชื่อ” 

“จงสั่งประชาชน เรายังไม่ได้พิสูจน์มันหรือ เรายังไม่ได้มีภาพของเราปรากฏในท่ามกลางพวกเจ้าและสิ่งอื่นๆ และได้กระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถกระทำได้เพื่อพิสูจน์ว่า เราอยู่กับเจ้าหรือ? นิตยสารเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาที่เต็มไปด้วยบทความเมื่อท่านได้กล่าวที่ธรรมาสน์ที่นี่ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากที่นี่สามเดือนก่อน และนั่นมันก็เกิดขึ้นและกำลังได้รับการพิสูจน์-แม้แต่วิทยาศาสตร์ได้รู้เกี่ยวกับมัน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยกระทำและเจ้ายังคงรออยู่ จงสั่งประชาชนและให้ก้าวไปข้างหน้ากับวัตถุประสงค์ของท่าน” อาเมน

นาธานไม่ได้บอกดาวิดหรือ นาธานผู้เผยพระวจนะครั้งหนึ่งนั่งอยู่เห็นดาวิดกษัตริย์ผู้ได้รับการเจิม เขากล่าวว่า “จงทำทุกอย่างที่อยู่ในจิตใจของท่านเพราะพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับท่าน” บอกกับดาวิดว่า “จงทำทุกอย่างที่อยู่ในจิตใจของท่านเพราะพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับท่าน”

โยชูวาได้รับการเจิมที่จะนำดินแดนมาเพื่อพระเจ้าและประชาชนของเขา วันเวลาที่แสนสั้น เขาจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นสำหรับพระราชกิจที่เขาได้รับการเจิมและถูกมอบหมายให้ทำ โยชูวา-ผู้ชายคนหนึ่ง เขาได้รับการเจิม พระเจ้าทรงบอกเขาว่า “ในฐานะที่เราอยู่กับโมเสส, เราจะอยู่กับเจ้า” อาเมน “ดินแดนแห่งนั้นที่เราจะมอบให้แก่พวกเขา เราต้องการให้เจ้าไปที่นั่นและกำจัดพวกอามาเลขและพวกอื่นๆ ทั้งหมด พวกคนฟิลิสเตียและพวกเปริสซีและพวกที่แตกต่าง กำจัดพวกเขาออกไป เราอยู่กับเจ้า ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า ไม่มีใครสามารถแผ้วพานเจ้า จงดำเนินต่อไปในที่นั่น”

และโยชูวาได้ชักดาบออกมาและกล่าวว่า “จงตามเรามา” และเขาได้ไปที่นั่นและที่นี่เขากำลังต่อสู้อยู่ และมันเป็นอะไรเล่าครับ? เขาทำให้ศัตรูแตกตื่น พวกเขาเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่นี่และกลุ่มเล็กๆ ที่นั่น เมื่อเวลากลางคืนมาถึงพวกเขาทั้งหมดจะมารวมตัวกันและกองทหารรักษาการณ์ได้รวมตัวกันและมาพร้อมกับแรงใหญ่ที่ต่อต้านพวกเขาและดวงอาทิตย์กำลังตก เขาต้องการแสงสว่างมากขึ้น ดวงอาทิตย์กำลังตก เขาไม่ได้คุกเข่าของเขาและทูลว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์จะต้องทำสิ่งใด? ข้าพระองค์จะต้องทำสิ่งใด?“ เขาได้สั่ง! เขามีความจำเป็นที่เขากล่าวว่า “ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่ง!” และเขาไม่ได้ร่ำไห้เลย เขาได้สั่งว่า “ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่ง เรามีความจำเป็นของสิ่งนี้ เราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ได้รับการเจิมไว้สำหรับพระราชกิจนี้และเรามีความจำเป็น จงหยุดนิ่งและจงฉายแสง และดวงจันทร์ เจ้าจงแขวนอยู่ในที่ๆ เจ้าอยู่” จนกว่าเขาได้ต่อสู้ผ่านการสู้รบและได้กำจัดสิ่งทั้งหมดออกไป

และดวงอาทิตย์เชื่อฟังเขา ไม่มีการร้องไห้ออกมา เขาสั่งกับดวงอาทิตย์ว่า “เจ้าจงหยุดนิ่ง ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงแขวนอยู่ที่นั่น และดวงจันทร์เอ๋ย เจ้าจงอยู่ในที่ซึ่งเจ้าอยู่” เขามิได้ร่ำไห้ออกมาว่า “พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์จะต้องทำสิ่งใด? โปรดประทานแสงแดดมากขึ้นอีกเถิด” เขามีความจำเป็นที่ต้องใช้แสงแดด ดังนั้นเขาจึงสั่งมัน และดวงอาทิตย์เชื่อฟังเขา โอ้! เขาได้สั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง

แซมสันได้รับการเจิม, ได้รับการเลี้ยงดู, ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า, ได้รับของประทานแห่งพละกำลัง, ได้รับการแต่งตั้งเพื่อทำลายพวกคนฟิลิสเตีย, ได้กำเนิดบนแผ่นดิน, ได้รับการเจิมจากพระเจ้าเพื่อทำลายพวกคนฟิลิสเตีย วันหนึ่งพวกเขาจับเขาได้ที่ข้างนอกในทุ่งหญ้าโดยไม่ต้องใช้ดาบของเขา, โดยไม่ต้องใช้หอก และพวกคนฟีลิสเตียหนี่งพันคนที่หุ้มเกราะเหล่านั้นจับเขาได้ในครั้งเดียว เขาไม่ได้คุกเข่าลงและทูลว่า “โอ้ พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังรอนิมิตหรือ? โอ้ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด? ขอทรงบอกข้าพระองค์ตอนนี้ในสิ่งที่ต้องทำ“ เขารู้ว่าเขามีความจำเป็น เขาพบว่าไม่มีอะไร แต่กระดูกขากรรไกรล่อเก่าๆ และเขาชนะพวกคนฟิลิสเตียหนึ่งพันคนลงได้! เขามิได้ร่ำไห้กับพระเจ้า เขาได้ใช้ของประทานแห่งการเจิมของเขา เขารู้ว่าเขาได้ถูกใช้มาสำหรับพระราชกิจนี้ เขารู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น เขารู้ว่าเขาได้รับการเจิมด้วยของประทานและเขาชนะพวกคนฟิลิสเตียได้ เขามิได้ร่ำไห้กับพระเจ้า พระเจ้าทรงแต่งตั้งเขาและได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นโดยสิ่งอื่นๆ ที่เขาได้เคยทำมาและพระองค์ได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้เพื่อทำลายพวกคนฟิลิสเตียและเขาได้ทำแล้ว! ไม่ว่าสิ่งที่สถานการณ์คือเขาไม่ได้ เขาไม่เคยถามอะไร นั่นคือ การงานของเขา พระเจ้ากำลังจัดการผ่าน ... เขาหยิบกระดูกล่อนั้นขึ้นมาและไปสู้รบกับพวกคนฟิลิสเตีย

... อย่างไร

ทำไมผู้หนี่งที่เลียกินกับสิ่งนั้นตรงข้ามกับผู้หนึ่งของพวกเขามีโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์หนี่งนิ้วครึ่งกะโหลกอย่างนั้นจะทำให้กระดูกนั่นแตกได้เป็นล้านชิ้น และเขาชนะคนหนึ่งพันคนของพวกเขาและสังหารพวกเขา และยังคงยืนอยู่กับมันในมือของเขา ไม่ได้ถามคำถามเลย เขามิได้ร่ำไห้ออกมา เขาสั่ง เขาทำให้พวกเขาแตกตื่น

โอ้! จงแก้แค้นพวกคนฟิลิสเตีย “ข้าพระองค์สามารถแก้แค้นพวกคนฟิลิสเตียได้หรือ พระเจ้า? ข้าพระองค์รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาเพื่อทำเรื่องนั้น พระเจ้า ใช่แล้ว พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาเพื่อจะทำลายประเทศของพวกคนฟิลิสเตียนี้ ตอนนี้ที่นี่คนหนึ่งพันคนของพวกเขาอยู่รอบๆ ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่มีอะไร ข้าพระองค์จะทำอะไรได้ตอนนี้พระเจ้า” โอ้! ไม่มีอะไรที่จะแผ้วพานเขา เขาได้รับการเจิมไว้สำหรับพระราชกิจนี้ ไม่มีอะไรที่อาจจะเป็นอันตรายต่อท่านได้ ไม่ครับ ไม่มีสักสิ่งหนึ่ง สรรเสริญพระเจ้า!

เขาเพียงแค่ใช้สิ่งที่เขามีและตีเข้าไปในพวกเขาได้ นั่นถูกต้องครับ

เมื่อศัตรูดักจับเขาไว้ได้และกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราจับเขาไว้ในกำแพงเมือง พวกเราจับเขาได้แล้วตอนนี้ พวกเรามีเขาอยู่ข้างในที่นี่กับผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้พวกเราได้ปิดประตูรอบๆ ทั้งหมดทุกที่และเขาไม่สามารถออกไปได้ พวกเราจับเขาได้แล้ว”

แซมสันมิได้ร่ำไห้ว่า “โอ้ พระเจ้า พวกเขาจับข้าพระองค์ได้แล้วล้อมไว้ข้างในทั้งหมดด้วยนิกายนี้ ข้าพระองค์จะทำสิ่งใดเล่า? ข้าพระองค์ได้เข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว ข้าพระองค์จะทำสิ่งใดเล่า? “เขาไม่เคยทำอย่างนั้นเลย เขาเพียงแค่เดินออกมาและถอนประตูเมืองออก ใส่บ่าของเขาและเดินแบกมันออกไป อาเมน!

เขาได้รับการเจิมเพื่อพระราชกิจนี้ เขาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า-ไม่ได้ล้อมเขาไว้ช้างใน ไม่ใช่แน่นอน! เขาได้นำประตูเมืองไปกับเขา เขาไม่ได้อธิษฐานเกี่ยวกับมัน เขาไม่ได้ถามพระเจ้าว่าจะทำมันได้หรือไม่ มันอยู่ตรงนั้นในสายของการปฏิบัติหน้าที่ อาเมน! อาเมน! อาเมน! ตรงนั้นในสายของการปฏิบัติหน้าที่ 

“ร้องไห้กับเราทำไม? จงสั่ง และจงดำเนินต่อไป” อาเมน “จงอย่าร้องไห้ จงสั่ง” บัดนี้เขาได้เลิกสะอื้นและครวญคราง ควรจะโตพอที่จะสั่งได้แล้ว ถูกต้องครับ เขารู้ว่าของประทานแห่งพละกำลังที่พระองค์ทรงเจิมสามารถทำลายพวกคนฟิลิสเตียได้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา อาเมน 

แต่กระนั้นพวกเราไม่รู้สิ่งนั้น พวกคุณเห็นไหมครับว่า พวกเรายังคงเป็นเด็กทารกน้อยกับขวดในปากของพวกเราและ... เขารู้จักมัน! รู้ว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเขาขึ้นมาเพื่อพระประสงค์นั้น และไม่มีสิ่งใดที่จะยืนอยู่ต่อหน้าเขาในทุกวันของชีวิตของเขา ไม่มีสิ่งใดที่จะทำลายเขาได้ เขาถูกยกขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นั้นเหมือนเช่นโมเสส ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดเขาได้ ไม่มีพวกคนอามาเลขหรือสิ่งอื่นใดที่สามารถหยุดเขาได้ เขาอยู่บนถนนที่จะไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา แซมสันรู้ว่าเขาอยู่บนถนนนั้นแล้ว

โยชูวารู้ว่า เขากำลังจะได้ดินแดนนั้น เขาได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตย์อยู่ที่นั่นกำลังพิสูจน์มัน 

เขาอยู่บนถนนของเขาดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะยืนอยู่ในทางของเขาได้ ไม่ครับท่าน ในการปฏิบัติหน้าที่แด่พระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะยืนอยู่ในทางของเขา ดังนั้นเขาเพียงแค่หยิบประตูขึ้นมาและวางพวกมันลงบนไหล่ของเขา-ซึ่งหนักประมาณสี่หรือห้าตัน-และเดินขึ้นไปบนเนินเขาและนั่งลงบนพวกเขา-ไม่มีสิ่งใดจะยืนอยู่ในทางของเขา เขามีของประทานที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้า

เขามิได้ร่ำไห้ออกมาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใดในเวลานี้” เขาได้รับการเจิมแล้วเพื่อจะทำมัน นั่นคือ พระเจ้าตรัสดังนี้ “จงกำจัดพวกเขา!” สรรเสริญพระเจ้า! “จงกำจัดพวกเขา! เราได้ยกเจ้าขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นั้น” อาเมน

“ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใด พระเจ้า? ข้าพระองค์กำลังจะทำสิ่งใดที่นี่ที่ทะเลแดง?“

“เราไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า เราได้ให้ภูเขาแก่เจ้าสำหรับหมายสำคัญข้างนอกที่นี่? เจ้ากลับมาที่ภูเขานั้นและเจ้ากำลังจะนำประชาชนเหล่านี้ไปยังดินแดนแห่งนั้น เราไม่ได้เรียกเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์นั้นหรือ? เจ้ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดที่ยืนอยู่ในทางนั้นหรือ จงสั่งและจงเริ่มเคลื่อนไป” อาเมนและอาเมน “เราได้เรียกเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์นี้”

ดาวิดเขารู้ว่าเขาได้รับการเจิม และได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นนักยิงที่แม่น เขารู้ว่าพวกเขารู้ว่าเขาเป็นนักยิงที่แม่น ดาวิดได้รับการเจิม เขารู้เรื่องนั้นแล้ว และเมื่อเขายืนอยู่ต่อหน้าโกลิอัท เขาไม่เคยได้ร่ำไห้เลยว่า “โอ้ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำสิ่งใดในตอนนี้? แต่สิ่งใดที่ต้องทำ ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำในครั้งที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์สังหารหมีและพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์สังหารสิงโต แต่สำหรับโกลิอัทนี้ที่นี่เล่า?” เขาไม่เคยทำอย่างนั้นเลย? เขาเพียงแค่สั่ง เขาพูดอะไรเล่าครับ? “เจ้าจะเป็นเหมือนที่พวกเขาเป็น” เขาสั่งและเดินไปข้างหน้า

เขาไม่เคยอธิษฐานเลยสักครั้งหนึ่ง เขาไม่เคยได้เสนอสิ่งใดเลย เขารู้ว่าเขาได้รับการเจิมแล้ว อาเมน เขาได้รับการเจิมและที่ยิงหนังสติ๊กนั้นได้พิสูจน์ว่าเป็นสิ่งที่ใช่ เขามีความเชื่อในการเจิมของเขา เขามีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้ก้อนหินยิงตรงไปที่ช่วงกลางของหมวกทองสัมฤทธิ์ที่เป็นที่เพียงที่เดียวเท่านั้นที่สามารถยิงได้ เขากำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้ว่าเขายิงดีแล้ว อาเมน เขารู้ว่าพระเจ้าทรงกระทำสิ่งนั้นให้เขา อาเมน เขารู้ว่าเขาได้สังหารสิงโต เขารู้ว่าเขาได้สังหารหมี แต่นั่นเป็นด้วยการครอบครองของบิดาแห่งโลกของเขา นี่เป็นการครอบครองของพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเขา อาเมน

เขาไม่ได้คุกเข่าลง “ข้าพระองค์ต้องทำอะไรตอนนี้พระเจ้า?” เขาสั่งและกล่าวว่า “เจ้าจะเป็นเหมือนเช่นสิงโตและหมี และเรามาที่นี่” ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้า! ใช่ครับท่าน

เขาสั่งและเดินไปข้างหน้าเพื่อพบกับโกลิอัทผู้นี้ (โอ้!) โดยมิได้คำนึงถึงขนาดของเขาเลย เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่มีผิวสีแดงกํ่า พวกคุณรู้ไหมครับว่า เขาไม่ได้มีรูปร่างใหญ่มาก เขาไม่ได้หล่อมากที่จะต้องถูกมอง-มีการดึงดูดน้อยมากตามการเรียงลำดับของเด็กหนุ่ม พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า เขามีผิวสีแดงกํ่า ตอนนี้ไม่คำนึงถึงขนาดของเขา และความสามารถที่ขนานนามกันอยู่ของเขาที่จะทำเช่นนั้น...

พวกคุณรู้ไหมครับ บาทหลวงได้บอกเขาว่า “ตอนนี้ดูที่นี่ลูกชาย ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศาสนศาสตร์ เห็นไหมครับ? เขาเป็นนักสู้ เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักสู้และเขาได้เป็นนักสู้ตั้งแต่เขายังเยาว์วัย และพวกคุณไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้”

และพวกพี่ชายของเขากล่าวว่า “โอ้ เจ้าจอมซน ออกมาที่นี่เพื่อทำสิ่งนั้นที่นั่น จงกลับบ้านไป” นั่นไม่ได้ทำให้เขารำคาญ ทำไมเล่าครับ? –เขารู้ว่าเขาได้รับการเจิม

“พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากสิงโตตัวนั้น พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของหมีตัวนั้น พระองค์จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทมากกว่านั้นจากคนฟิลิสเตียนี้” “ข้ามาที่นี่ ข้ามาหาท่านในพระนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอล” อาเมน

ไม่ได้อธิษฐานมาตลอด-เขาได้รับการอธิษฐานมาตลอดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าได้ทรงอธิษฐานให้เขามาตลอดก่อนการวางรากฐานของโลก เขาได้รับการเจิมเพื่อพระราชกิจนี้ เขาจึงต้องสั่งและดำเนินไปข้างหน้า นั่นคือทั้งหมดที่มีเพื่อจะทำเกี่ยวกับมัน จงสั่งและดำเนินไปข้างหน้า

โอ้ นั่นคือทั้งหมดที่มีให้กับมัน เขาไม่ได้... 

เกี่ยวกับพวกพี่น้องในนิกายของเขา พวกเขาผู้เยาะเย้ยยืนอยู่ที่นั่นด้วย พวกคุณรู้ไหมครับ โอ้ ใช่ครับ พวกเขากำลังยืนอยู่ที่นั่นพูดเย้ยหยันและทำให้ตลกขบขันและด้วยการพูด (พวกพี่น้องของเขา พวกคุณรู้ไหมครับ) และบอกว่า ... “อ่า อ่า คุณแค่ซุกซน” นั่นไม่ได้เคลื่อนเขาสักหน่อย “คุณอยากจะแตกต่างจากคนอื่น คุณเพียงแค่อยากจะอวด”

ถ้าหากสิ่งนั้นเป็นการอวด มันจึงได้เป็นอย่างนั้นแล้ว นอกจากนั้นพวกเขายังมองไปที่ด้านภูมิปัญญาเพียงเท่านั้น ดาวิดรู้ว่านํ้ามันแห่งการเจิมอยู่บนตัวเขา อาเมน ไม่ได้ทำให้เขาแตกต่างแต่อย่างใด เขากล่าวว่า “คนฟิลิสเตียคนนั้นจะเป็นเหมือนหมีและสิงโต ดังนั้นเราจึงมาที่นี่” เขาทำนายไว้ก่อนที่มันจะได้เกิดขึ้น เขาได้ทำอะไรเล่า?-เขาได้สังหารหมี เขาได้สังหารสิงโต เขาได้ล้มสิงโตลง ด้วยอะไรเล่า? ด้วยที่ยิงหนังสติ๊กและใช้มีดและจากนั้นสิงโต เขาได้สังหารสิงโตด้วยมีด นั่นคือ สิ่งเดียวกับที่เขาได้ทำกับโกลิอัท เขาได้ล้มโกลิอัทลงด้วยก้อนหิน และได้ชักดาบของเขาออกมา และตัดศีรษะของโกลิอัทเองออกมาด้วยตัวของเขาเอง ณ ที่นั่นต่อหน้า... เขาได้ทำนายอะไรไว้ก่อนที่มันจะได้เกิดขึ้น? “และท่านจะเป็นอย่างที่พวกมันเป็น” เหตุใดกันเล่า? เขาได้กล่าวคำว่า มันจะเป็น และจากนั้นก็ได้ดำเนินไปข้างหน้าเพื่อจะทำให้มันสำเร็จ อาเมน โอ้ บราเดอร์! เขาได้สั่งและได้ควบคุมสถานการณ์ในวันนั้น

ถ้าหากเคยมีช่วงเวลาที่มนุษย์ควรจะสั่ง มันคือในเวลานี้ (กำลังจะปิดการประชุมเพียงในไม่กี่นาทีต่อไปนี้ ถ้าหากพวกคุณสามารถทนต่อไปอีกไม่กี่นาทีได้ ผมมีบางสิ่งบางอย่างมากกว่าที่ได้เขียนลงไปที่นี่ ข้อพระคัมภีร์บางข้อที่อยากจะนำมา)

เปโตรมิเคยร่ำไห้เมื่อเขาพบคนที่มีความเชื่อมากพอที่จะได้รับการเยียวยารักษาโรคนอนอยู่ที่ประตูงาม เขามิเคยได้ก้มลงและมีการอธิษฐานตลอดคืนหรือการอธิษฐานตลอดวัน หรือการอธิษฐานใหญ่เป็นเวลานานและทูลว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานทูลขอพระองค์ในเวลานี้ ขอให้พระองค์ทรงช่วยให้คนง่อยที่น่าสงสารคนนี้ ข้าพระองค์เห็นว่าเขามีความเชื่อ ข้าพระองค์รู้ว่าเขาเป็นผู้เชื่อและข้าพระองค์เคยถามเขาและเขาบอกว่าเขามีความเชื่อแล้ว-เขาเชื่อแล้วในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้บอกกับเขา ข้าพระองค์เคยบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำและข้าพระองค์เพิ่งคิดว่าในเวลานี้ พระเจ้า... ขอพระองค์โปรดประทาน พระเจ้าตรัสดังนี้ แก่ข้าพระองค์เพื่อเขาได้ไหม?”

ไม่ครับ เขารู้แล้วว่าเขาได้รับการเจิมให้เป็นอัครทูต เขารู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงบัญชาเขาไว้: “จงเยียวยารักษาโรคพวกผู้คนที่เจ็บป่วย, จงทำให้พวกคนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมา, จงชำระพวกคนโรคเรื้อนให้สะอาด และจงขับพวกผีวิญญาณชั่วออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ” พระองค์ตรัสว่า “เปโตร จงไปทำสิ่งนั้น!” เขาไม่ต้องอธิษฐานตลอดเวลา เขาได้รับพระบัญชาแล้ว

เขาได้กล่าวอะไรเล่า? เขากล่าวว่า “ในพระนามของพระเยซูคริสต์...” เขากล่าวพระนามของพระเยซูคริสต์และผู้ชายคนนั้นซึ่งนอนอยู่ที่นั่น เขายกผู้ชายคนนั้นขึ้นมาด้วยมือและกล่าวว่า “จงลุกขึ้นยืนบนเท้าของท่าน!” เขากอดผู้ชายคนนั้นที่นั่นจนกระทั่งกระดูกข้อเท้าของเขาก็มีกำลังขึ้นมาและเขาเริ่มที่จะเดิน

เหตุใดกันเล่า? เขามิเคยได้มีการประชุมอธิษฐานตลอดทั้งคืน เขามิเคยได้ร้องไห้ออกมาแด่พระเจ้า เขารู้ในเชิงบวกแล้วจากพระโอษฐ์ของพระเยซูคริสต์ว่า เขาได้รับการเจิมสำหรับพระราชกิจนี้ เขาจึงได้สั่งและยกผู้ชายคนนั้นขึ้นมาได้เพราะเขารู้แล้วว่าเขาเป็นอัครทูตที่ได้รับการเจิมเพื่อวัตถุประสงค์นี้

พวกคนทั้งหลายที่นอนอยู่ในเงาของเขามิเคยได้กล่าวว่า “โอ้ มาเถิด อัครทูตเปโตร และร่ำไห้ให้กับพวกเราและอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานแห่งความเชื่อแด่พระเจ้าเพื่อพวกเรา” ไม่ ไม่ใช่ พวกเขาไม่เคยพูดอย่างนั้น พวกเขารู้แล้วว่าเขาได้รับการเจิมและเป็นอัครทูตที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า “ขอเพียงให้พวกเรานอนอยู่ในเงาของเขา ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำเดียว พวกเรารู้ พวกเราเชื่อ” ชีวิตภายในพวกเขา... อัครทูตมิอาจจะไปหาพวกเขาได้ทุกคนและพวกเขาด้วยตัวของพวกเขาเอง-พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน

โมเสสกล่าวว่า “มันไม่ใช่แค่เราที่กำลังไป พวกเราทุกคนกำลังไป พวกเราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำ พวกเราทุกคนต้องได้รับการเจิม” และพวกเขาเห็นว่าอัครทูตยืนอยู่ตรงนั้นและเห็นเขาเยียวยารักษาโรคผู้คนที่เจ็บป่วยและทำในสิ่งทั้งหลายที่เขาได้ทำ-พวกเขารู้แล้วว่า เขามิอาจจะมาถึงพวกเขาได้ พวกเขามิเคยได้กล่าวว่า “เปโตร มาเถิดและกล่าวคำอธิษฐานให้และรอตอนนี้จนกว่าท่านจะได้ พระเจ้าตรัสดังนี้ และมาบอกข้าพเจ้า เห็นสิ่งที่พระเจ้าตรัส” พวกเขากล่าวว่า “ถ้าหากพวกเราเพียงแค่อาจจะได้นอนในเงาของเขา เพราะพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ที่ได้ทรงสถิตย์ในพระเยซูคริสต์ทรงสถิตย์อยู่ในเขา และพวกเราเห็นสิ่งเดียวกันกำลังกระทำอยู่“ดังนั้นพวกเขาจึงได้สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระเยซูและได้นอนในเงาของเขาและพระเยซูได้ทรงสถิตย์อยู่ในผู้ชายคนนี้ ถ้าหากเงานั้นสามารถสะท้อนไปบนพวกเขาได้ พวกเขาจะได้รับการเยียวยารักษาโรค และพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า พวกเขาทุกคนหายโรค ไม่ได้มีการประชุมอธิษฐานตลอดคืน ทูลว่า “พระเจ้า ถ้าหากข้าพระองค์ไปนอนในเงาของอัครทูตท่านนี้...” ไม่ครับ พวกเขารู้แล้ว แสงสว่างได้ปะทะพวกเขา จิตใจของพวกเขาได้เต็มล้นแล้ว ความเชื่อของพวกเขาได้ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว อาเมน พวกเขาเชื่อมันแล้วพวกเขาได้เห็นมันแล้ว แบบเดียวกับ-พอล แฮงคีย์ส (ตอนนี้ในการปิดการประชุม)

พระเยซูมิเคยได้กันแสงเมื่อพวกเขาได้นำเด็กชายที่เป็นบ้ามายังพระองค์ คนที่มีโรคลมชักซึ่งกำลังตกเข้าไปอยู่ในกองไฟ พระองค์มิเคยได้ตรัสว่า “พระบิดา ข้าพระองค์เป็นพระบุตรของพระองค์ และในเวลานี้พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพระองค์มาที่นี่เพื่อจะทำสิ่งนี้และสิ่งนั้น ข้าพระองค์สามารถเยียวยารักษาโรคเด็กชายคนนี้ได้หรือไม่?” พระองค์มิเคยได้ตรัสว่า ... พระองค์ตรัสว่า “จงออกไปจากเขา ซาตาน!” พระองค์ทรงสั่งและเด็กชายก็หายโรค

เมื่อเขาได้พบกับคนที่ถูกผีทั้งกองสองพันตนเข้าสิงในตัวเขา-พระเยซูมิเคยได้กันแสง มันเป็นพวกผีวิญญาณชั่วที่ร้องไห้ว่า “ถ้าท่านขับพวกเราออก (โอ้!) ทรมานพวกเราให้เข้าไปอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด”

พระเยซูมิเคยได้ตรัสว่า “พระบิดา ในเวลานี้ข้าพระองค์สามารถจะกระทำสิ่งนี้ได้หรือไม่?” พระองค์ตรัสว่า “จงออกไปจากเขา” และพวกผีก็แจ้นหนีไป แน่นอนครับ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์

ที่หลุมฝังศพของลาซารัส (เขาตายมาสี่วันแล้ว) พวกเขาทูลว่า “ถ้าหากพระองค์ทรงประทับอยู่ที่นี่ พระเจ้า เขาคงจะไม่ตาย”

พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย...” ไม่ได้เป็นสถานที่, เมื่อไหร่ หรืออย่างไร “ผู้ที่เชื่อในเราแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอยู่” อาเมน พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นสิ่งใด พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นอิมมานูเอล พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงรู้แล้วว่าในพระองค์ความไพบูลย์ของพระกายพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกเขาผู้เล็กน้อยที่นั่น และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบอกกับพระองค์-ได้ทรงกล่าวว่าจะกระทำและพระองค์-ได้เสด็จลงไปที่นั่น

พระองค์มิเคยได้ตรัสว่า “ตอนนี้จงรอ เราจะคุกเข่าลงที่นี่และท่านทั้งหลายทุกคนจงคุกเข่าลง อธิษฐาน” พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเชื่อว่าเราสามารถจะทำสิ่งนี้ได้หรือไม่?” อาเมน พระองค์ทรงถามอย่างนั้น นั่นมิใช่พระองค์ นั่นเป็นพวกเขา

“ใช่แล้ว พระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่กำลังจะเสด็จมายังโลกนี้” โอ้! นั่นพระองค์ได้ทรงรับการพิสูจน์ บางสิ่งบางอย่างจะต้องเกิดขึ้น

“ลาซารัส จงออกมา!” พระองค์ทรงสั่งและคนตายก็ออกมา ไม่ใช่ว่า ข้าพระองค์สามารถหรือ? พระองค์ทรงสั่ง เมื่อเกิดความเชื่อแล้ว สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นได้

พระองค์ทรงสั่ง-พระองค์ทรงสั่งแล้วและคนตาบอดก็มองเห็นได้ คนง่อยก็เดินได้ คนหูหนวกก็ได้ยินได้ พวกผีวิญญาณชั่วก็กรีดร้องและออกไป คนตายก็ฟื้นขึ้นได้-ทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุใดกันเล่า? พระองค์มิได้ทรงอธิษฐานตลอด พระองค์ได้ทรงรับการเจิมเป็นพระเมสสิยาห์แล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์นั้นแล้ว พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็น พระองค์ทรงรู้ตำแหน่งของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ได้ทรงถูกใช้ไปเพื่อจะทรงกระทำสิ่งใด พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระบิดาได้ทรงกำหนดให้พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์แก่ผู้เชื่อ และเมื่อพระองค์ได้ทรงพบผู้เชื่อคนนั้นที่มีความเชื่อ พระองค์เพียงแค่ตรัสพระวจนะ พวกผีวิญญาณชั่วก็กระจัดกระจายไป ใช่ครับท่าน จงสั่ง อย่าร้องไห้ จงสั่ง! อาเมน

และพระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระเจ้าของพระองค์ได้ประทานสิทธิอำนาจให้กับพระองค์แล้ว แต่พวกเราไม่รู้ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด พวกเราไม่รู้

โมเสสลืมไปแล้ว แซมสันเข้าใจแล้ว คนอื่นๆ เข้าใจแล้ว โยชูวาเข้าใจแล้ว โมเสสลืมไปแล้ว พระเจ้าทรงต้องเรียกความตั้งใจของเขาเพื่อสิ่งนั้น พระองค์ตรัสว่า “เจ้าร้องไห้กับเราทำไม? เราได้ใช้ให้เจ้าไปทำการงานนั้น จงสั่งและจงดำเนินต่อไปยังวัตถุประสงค์ของเจ้า เราได้บอกเจ้า เจ้าได้มาถึงภูเขานี้ จงพาพวกเขาพวกคนทั้งหลาย และจงนำพวกเขาต่อไป จงสั่ง เราไม่สนใจสิ่งที่อยู่ในทางของเจ้า จงเคลื่อนมันออกไปจากทางนั้น เราให้สิทธิอำนาจแก่เจ้าที่จะทำอย่างนั้นได้ เราสั่งแล้ว- เจ้าสั่งแล้วฝูงเหลือบและฝูงริ้น และสัตว์ต่างๆ และสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ตอนนี้เจ้ารอเราอยู่เพื่อสิ่งใดกันเล่า? ทำไมเจ้ามาหาเรา รอสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ จงสั่งและจับตาดูมันเคลื่อนไป” โอ้! โอ้ ผมชอบมาก

ที่นี่ พระเยซู ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกล่าวแล้ว พระองค์ทรงเพียงสั่งด้วยพระวจนะ และมันก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระองค์อย่างแน่ชัดว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”

ให้จับตาดูพระองค์ (ผมชอบสิ่งนี้) ทรงกล้าหาญเพียงไร ทรงน่าเกรงขามพียงไร พระองค์ทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกคนที่วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ อาเมน พระองค์ตรัสว่า “จงทำลายวิหารนี้ และเราจะทูลขอพระคุณพระบิดาและดูสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเกี่ยวกับเรื่องนี้ จงทำลายวิหารนี้และเราจะยกมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง” ไม่ใช่เราหวังว่าจะ เรากำลังพยายามที่จะ เราจะทำมัน?! ทำไม? ข้อพระคัมภีร์กล่าวไว้ดังนั้น ข้อพระคัมภีร์เดียวกันกับที่กล่าวว่า พระองค์จะทรงยกพระกายของพระองค์ขึ้นมา ให้สิทธิอำนาจ ฤทธิ์เดช อาเมน! “โดยนามของเราพวกเขาจะขับผีออก พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาจะจับงูได้ด้วยมือเปล่า หรือดื่มยาพิษใดๆ มันจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาวางมือของพวกเขาบนคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”

“เจ้าร่ำไห้กับเราทำไม? จงสั่งและจงดำเนินไปข้างหน้า“ โอ้ อย่างกล้าหาญ-“จงทำลายวิหารนี้ เราจะยกมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”

โอ้ และจำได้ไหมครับ ตอนนี้ (พวกเรากำลังจะปิดการประชุม) มันเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระองค์-นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ทรงกล่าวไว้ในพระธรรมยอห์น บทที่ 14 ข้อ 12 ว่า “ผู้ที่เชื่อในเราจะทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่” ถูกต้องไหมครับ? นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ทรงกล่าวไว้ดังนั้น นั่นทรงเป็นพระเยซูในพระธรรมมาระโก บทที่ 11 ข้อ 24 ที่กล่าวว่า “ถ้าท่านทั้งหลายพูดกับภูเขานี้ ...“ (ไม่ใช่ว่า “ถ้าเจ้าอธิษฐานกับภูเขานี้”) “ถ้าเจ้าพูดกับภูเขานี้ว่า 'จงเคลื่อนไป' และไม่สงสัยในจิตใจของเจ้า แต่เชื่อว่าสิ่งที่เจ้าได้กล่าวไว้จะเกิดขึ้น พวกท่านอาจจะมีสิ่งที่พวกท่านได้กล่าวว่า “ตอนนี้ถ้าพวกท่านบอกว่ามันเกินไป มันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าบางสิ่งบางอย่างในตัวพวกท่าน ที่พวกท่านได้รับการเจิมไว้สำหรับพระราชกิจนี้ และจะรู้ว่ามันเป็นนํ้าพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงกระทำมันและจะพูดมัน มันก็จะต้องเกิดขึ้น “ถ้าหากท่านทั้งหลาย...“ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ตรัสดังนี้ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายคงอยู่ในเราและถ้อยคำของเราคงอยู่ในท่านทั้งหลาย จงขอสิ่งใดๆ ที่ท่านทั้งหลายปรารถนาแล้วท่านทั้งหลายจะได้รับสิ่งนั้น” โอ้! โอ้! พวกคุณเห็นไหมครับว่าผมหมายถึงอะไร?

ขออภัยสำหรับสิ่งนี้ แต่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ครับว่าผมต้องพูดถึงมัน นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ทรงกล่าวไว้วันนั้นที่นั่นในป่าว่า “ท่านทั้งหลายไม่มีเกม” และพระองค์ได้ทรงสร้างกระรอกสามตัวให้ยืนอยู่ที่นั่นต่อหน้าพวกเรา มันคืออะไรเล่าครับ? ด้วยการสั่งถ้อยคำ พูดพวกมันจะอยู่ที่นั่น, และที่นั่น, และที่นั่นพวกมันอยู่ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกระทำอย่างนั้น ชาร์ลี, ร็อดนีย์ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้เสด็จลงมาที่นั่นในรัฐเคนตั๊กกี้ เนลลี่ย์, มาร์กี้ และพวกคุณที่เหลืออยู่ นั่นทรงเป็นพระองค์ พระเจ้าองค์เดียวกันที่ได้เสด็จกลับไปที่นั่นและได้ทรงกล่าวกับโมเสสและได้ตรัสว่า “เจ้าร้องไห้กับเราทำไม? จงสั่งถ้อยคำ” นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงนำพวกเขาไปสู่การดำรงอยู่ นั่นทรงเป็นพระองค์ นั่นทรงเป็นพระองค์ โอ้!

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ประทานนิมิตเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาตรัสว่า พวกเราจะได้ไปที่นั่นและตราทั้งเจ็ดเหล่านี้และจะมีฟ้าร้องอันใหญ่ยิ่งที่จะเริ่มปรากฏขึ้นมาและมันจะเป็นรูปปิรามิด และมีนิตยสารไลฟ์ แม็กกาซีน ที่เขียนถึงมันแขวนอยู่บนผนังในที่นั่น นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ทรงกล่าวไว้อย่างนั้น 

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่คืนนั้นเมื่อผมกำลังจะลงไปที่ถนนนั้นและได้เห็นงูแมมบ้าตัวใหญ่ตัวนั้นที่เกือบจะฉกน้องชายของผม พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้รับอำนาจที่จะผูกมัดมันหรือส่วนที่เหลือของพวกมัน”

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวกับภรรยาที่มีผมสีเทาหน่อยๆ ของผม ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ข้างหลังนั่น-นั่นทรงเป็นพระองค์ในเช้าวันนั้นที่ได้ทรงปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในห้องและทรงกำลังยืนอยู่ในมุมนั้นตรัสว่า “จงอย่ากลัวที่จะทำสิ่งใดหรือจะไปที่ไหนหรือจะพูดอะไร เพราะการทรงสถิตย์ของพระเยซูคริสต์ที่มิอาจจะล้มเหลวได้อยู่กับท่านทุกหนแห่งที่ท่านไป”

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้เสด็จขึ้นไปยังภูเขาซาบิโน่แคนยอนประมาณสามเดือนที่ผ่านมาเมื่อผมกำลังอธิษฐานอยู่ แปลกใจว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นและผมก็กำลังยืนอยู่ที่นั่นและดาบตกลงมาในมือของผม และตรัสว่า “นี่คือพระแสงของจอมกษัตริย์” นั่นทรงเป็นพระองค์

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ตรัสกับผมว่า “ในฐานะที่เราอยู่กับโมเสสดังนั้นเราจะใช้ท่านไป”

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวกับผมเมื่อสามสิบปีก่อนลงไปยังแม่นํ้าที่โน่นเมื่อตอนเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ด้วยการทรงยืนอยู่ที่นั่นเหมือนกับนักเทศน์ผู้เล็กน้อยท่านหนึ่งในแม่นํ้านั้นเมื่อสามสิบปีก่อน ทรงยืนอยู่ที่นั่นเมื่อแสงสว่างเดียวกันกับเสาเพลิงที่ลงมาจากฟ้าสวรรค์และทรงยืนอยู่ที่นั่นและตรัสว่า “ในฐานะที่เราได้ส่งยอห์นผู้ให้บัพติศมามาก่อนการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ คำเทศนาของเจ้าจะมาก่อนการเสด็จมาครั้งที่สอง” สำหรับทั่วโลก มันจะเป็นอย่างไรกันเล่าเมื่อศิษยาภิบาลของผมเองได้หัวเราะและขบขันกับเรื่องนั้น? แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ถูกต้องครับ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวสิ่งนั้นแล้ว ใช่ครับท่าน!

โอ้ นั่นทรงเป็นพระองค์จริงๆ ที่ทรงเผยพระวจนะสำหรับนิมิตว่า “มันจะเกิดขึ้น” นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ตรัสว่า “ถ้าหากคนหนึ่งในท่ามกลางพวกท่านเผยพระวจนะหรือเห็นนิมิตและบอกมันและมันจะเกิดขึ้น ดังนั้นจงจำไว้ว่า นั่นไม่ใช่เขา นั่นเป็นเรา เราอยู่กับเขา” โอ้! สิ่งใดที่ผมอาจจะดำเนินต่อไปและพูดได้ว่า นั่นทรงเป็นพระองค์ นั่นทรงเป็นพระองค์ นั่นทรงเป็นพระองค์

นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้เสด็จลงมา... เมื่อผมบอกพวกเขาว่า เสาเพลิงได้ลงมาในแม่นํ้านั่น และพวกเขามิอาจจะเชื่อเรื่องนั้นได้เลย นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้เสด็จลงไปที่นั่นในท่ามกลาง...กับนักเทศน์แบ๊บติสต์ต่อหน้าพวกคนสามหมื่นคนในคืนนั้นใน แซม ฮิวสตัน โคลีเซียม เมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้มีภาพถ่ายของพระองค์ทรงยืนอยู่ที่นั่น นั่นทรงเป็นพระองค์ ผู้ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงพยากรณ์ถึงสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้น นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ตรัสเรื่องนี้ นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์ได้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้จริงๆ ว่า พระองค์ทรงจะกระทำอย่างนั้น อาเมน

เหตุใดผมควรจะรอเล่าครับ? พระเจ้าทรงเป็นพระวจนะที่ได้ทรงรับการพิสูจน์แล้ว ทรงเป็นความจริง ให้พวกเราเดินทางไป ให้พวกเราเดิน ให้พวกเราไปบนทางของพระเจ้า ด้วยการวางความสงสัยทั้งหมด บาปทั้งหมดลงไป จงทำความสะอาดวิหาร ขัดมันขึ้นมา ดั่งที่นิมิตของ จูเนียร์ แจ็คสัน ได้กล่าวไว้ ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลยนอกจากตะเกียง-หรือความฝันของเขา (ถ้าหากเขากำลังนั่งอยู่ที่นี่) ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกเลย นอกจากตะเกียง และพวกมันมีสายรัดทองคำรอบๆ พวกมัน ในความฝันที่เขาให้ผมในคืนก่อน โอ้!

บราเดอร์คอลลินส์ จงอย่ากังวลเกี่ยวกับปลาตัวนั้น มันเป็นสีขาว คุณเพียงไม่ได้รู้จักวิธีที่จะจัดการกับมัน จงละทิ้งสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดกับมัน จำได้ไหมครับว่า นี่คือความจริงโดยไม่คำนึงถึงว่ามันดูเหมือนบ้าคลั่งอย่างไร และสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างบางครั้ง… จงเคลื่อนต่อไปกับพระองค์

นั่นทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าองค์เดียวกันที่ได้ทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาจากการวายพระชนม์ พระเจ้าองค์เดียวกันที่ทรงสามารถสั่งสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ในเวลานั้น พระเจ้าองค์เดียวกันที่ทรงมีพระชนม์อยู่ในยุคของโมเสส ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันในยุคนี้ การทรงเรียกของพระองค์ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ได้ทรงรับการพิสูจน์แล้วว่า “ดั่งที่เคยเป็นในยุคของเมืองโสโดม ดังนั้นจะมีการเสด็จมาของบุตรของมนุษย์” พระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว ... มีเมืองโสโดมอยู่ที่นั่น มี บิลลี่ เกรแฮม และ ออรัล โรเบิร์ต อยู่ที่นั่น และคริสตจักรที่เคลื่อนไหวโดยหมายสำคัญต่างๆ เหมือนกันกับที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ทั้งสองแห่ง และพวกเขาอยู่ที่นั่น นั่นทรงเป็นพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวไว้แล้ว โอ้ พระเจ้า โปรดประทานความกล้าหาญให้ข้าพระองค์เถิด เป็นคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ โอ้ พระเจ้า

ผมต้องออกจากที่นี่ มันจะสายแล้วครับ

“เจ้าร่ำไห้กับเราทำไม? เจ้ากำลังร่ำไห้กับเราทำไมกันเล่าในเมื่อเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราอยู่กับเจ้า? เรายังไม่ได้เยียวยารักษาโรคผู้คนที่เจ็บป่วยของเจ้าหรือ” พระองค์อาจจะตรัส? “เรายังไม่ได้บอกเจ้าถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอนหรือ? ศิษยาภิบาลของพวกท่านไม่สามารถทำอย่างนั้นได้... เรา เขาไม่สามารถทำได้ เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง “นั่นเป็นเรา พระเจ้า” พระองค์อาจจะตรัสว่า “เราเป็นผู้ที่ได้กระทำสิ่งนั้น เราเป็นผู้ที่บอกสิ่งเหล่านี้กับเขา นั่นไม่ได้เป็นเขา นั่นเป็นเสียงของเรา เราเป็นผู้ที่ฟื้นพวกคนที่ตายไปแล้วของเจ้าขึ้นมาจากความตายเมื่อพวกเขาล้มลงไป เราเป็นผู้ที่เยียวยารักษาโรคผู้คนที่เจ็บป่วย เราเป็นผู้ที่พยากรณ์ถึงสิ่งเหล่านี้ เราเป็นผู้กระทำความรอด เราเป็นผู้ประทานพระสัญญา”.

พระเจ้า โปรดประทานความกล้าหาญให้แก่ข้าพระองค์เพื่อจะใช้พระแสงของพระวจนะที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ในมือของข้าพระองค์เมื่อสามสิบสามปีที่ผ่านมาและถือพระแสงนั้นและเดินทัพไปข้างหน้าไปยังพันธกิจระยะที่สาม นี่คือคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ให้ก้มศีรษะของพวกเราลง

พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ เวลาที่กำลังจะสายมากขึ้น แต่กระนั้นพระวจนะทรงมีคุณค่ามากขึ้น ดั่งที่ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น พระบิดา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่การทรงสถิตย์ของพระคริสต์มิเคยได้ล้มเหลวที่จะพบกับข้าพระองค์ทั้งหลายเสมอ ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความดีของพระองค์ พระองค์ได้ทรงไว้ชีวิตของข้าพระองค์ทั้งหลายและได้ทรงอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างไร ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งนี้

ขณะที่ข้าพระองค์ถือพวกผ้าเช็ดหน้าเหล่านี้ในมือของข้าพระองค์ พระบิดา-มันคือพวกคนทั้งหลายที่มีความเชื่อที่เชื่อเรื่องนี้ ขอให้ผีวิญญาณชั่วทุกๆ ตน, ความเจ็บป่วยทุกอย่างออกไปจากพวกเขาคนทั้งหลาย และเราขอผูกมัดวิญญาณสกปรกทุกวิญญาณที่นี่และที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ทุกวิญญาณของความเจ็บป่วย, โรคร้ายทุกโรคและความทุกข์ทรมานทั้งหมด-ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้นอนอยู่ในเงาของมนุษย์ซึ่งก็ไม่เป็นไร แต่กระนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายอยู่ในเงาของข่าวประเสริฐ-ข่าวประเสริฐที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

ในขณะที่เสาเพลิงอันยิ่งใหญ่จะเคลื่อนกลับมาผ่านตึกนี้ ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับพระเจ้าผู้ทอดพระเนตรผ่านลงมา และทะเลแดงถูกแยกออกและพวกอิสราเอลได้เดินผ่านไป แต่กระนั้นเวลานี้ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตร ได้ทรงประพรมด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระองค์เมื่อพระเมตตาและพระคุณ... ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อฟัง วันนี้ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเลิกการพูด-การร่ำไห้ออกมา ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายตระหนักว่าพระองค์ได้ทรงเรียกข้าพระองค์ทั้งหลายมาสำหรับพระราชกิจนี้ นี่คือ ณ เวลานั้น เราสั่งในพระนามพระเยซูคริสต์ให้ทุกความเจ็บป่วยออกจากสถานที่แห่งนี้

ขอให้ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนที่เรียกพระนามพระเยซูคริสต์ถวายชีวิตใหม่ของพวกเขาในวันนี้ ข้าพระองค์ขอถวายชีวิตของข้าพระองค์ พระบิดา ณ แท่นบูชาแห่งการอธิษฐาน ข้าพระองค์ขอวางตัวของข้าพระองค์เองลงและความละอายของตัวข้าพระองค์เองและหันศีรษะของข้าพระองค์ลงสู่พื้นดินจากสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงนำข้าพระองค์มา

พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจในความอ่อนแอของข้าพระองค์และความไม่เชื่อของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงยกโทษให้อภัยเถิด พระบิดา โปรดประทานความกล้าหาญให้กับข้าพระองค์ โปรดประทานความกล้าหาญทั้งหมดให้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนโมเสส-ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกคนอยู่ข้างนอกบนถนน ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่อยากจะละทิ้งใครเลย ข้าพระองค์ทั้งหลายอยากจะพาทุกคนไป พระบิดา พวกเขาเป็นของพระองค์ ข้าพระองค์ขอกล่าวอ้างพวกเขาแด่พระองค์ ขอทรงอวยพรพวกคนเหล่านี้ในวันนี้ พระบิดา โปรดประทานด้วยเถิด ขอทรงอวยพรข้าพระองค์กับพวกเขา พระบิดา และขอให้พระนามของพระองค์ได้รับการสรรเสริญ ขอพระสิริเป็นของพระองค์ โปรดประทานความเชื่อนิรันดร์ให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย พระบิดา เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายถวายตัวของข้าพระองค์ทั้งหลายเองแด่พระองค์ในเวลานี้ 

ข้าพระองค์ บนพระคัมภีร์ไบเบิลเล่มนี้ และบนเวทีนี้ ข้าพระองค์ขอมอบชีวิตของข้าพระองค์แด่พระองค์ พระบิดา ข้าพระองค์ขอขึ้นอยู่กับทุกพระสัญญาที่พระองค์ประทานให้ ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการยืนยัน ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง โปรดประทานความกล้าหาญให้แก่ข้าพระองค์ที่จะพูดถ้อยคำเหล่านี้ โปรดประทานความกล้าหาญให้แก่ข้าพระองค์ พระบิดา ขอทรงนำข้าพระองค์ในสิ่งที่ข้าพระองค์จะทำและจะพูด ข้าพระองค์ขอมอบถวายตัวข้าพระองค์เองแด่พระองค์กับคริสตจักรแห่งนี้พร้อมกับสิ่งนี้ พระบิดา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน

ความเชื่อของข้าพระองค์แสวงหาพระองค์

พระเมษโปดกแห่งโกละโกธา

พระผู้ช่วยให้รอด!

เวลานี้ ขอทรงฟังข้าพระองค์ในขณะที่ข้าพระองค์อธิษฐาน,

ขอทรงนำบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ไป

โอ้ โปรดประทานแก่ข้าพระองค์นับจากวันนี้

ให้เป็นทั้งหมดของข้าพระองค์!

ในเวลานี้ ขอให้ยืนอยู่อย่างเงียบๆ ในขณะที่พวกเราครวญเพลง

... แด่พระองค์,

พระเมษโปดก ...

(ขอให้ยกมือของพวกเราขึ้นแด่พระองค์)

โอ้ พระผู้ช่วยให้รอด ...

(ถวายตัวของคุณเองแด่พระเจ้าในเวลานี้)

เวลานี้ ขอทรงฟังข้าพระองค์ในขณะที่ข้าพระองค์อธิษฐาน,

ขอทรงนำความสงสัยทั้งสิ้นของข้าพระองค์ไป

โอ้ โปรดประทานแก่ข้าพระองค์นับจากวันนี้

ให้เป็นทั้งหมดของข้าพระองค์!

ตอนนี้ให้ยกมือของพวกเราขึ้นด้วยกัน [ที่ประชุมกล่าวตามที่บราเดอร์บรานฮามอธิษฐาน] พระเยซูเจ้า ในเวลานี้ข้าพระองค์ขอถวายตัวของข้าพระองค์เองแด่พระองค์ ชีวิตของการรับใช้ที่บริสุทธิ์มากขึ้น, ที่มีความเชื่อมากขึ้น ข้าพระองค์ร้องทูลขอว่า ข้าพระองค์จะเป็นผู้รับใช้ที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นในชีวิตของข้าพระองค์ที่จะมาถึงมากกว่าที่ข้าพระองค์เคยได้รับในชีวิตที่ผ่านมา ขอทรงยกโทษให้อภัยความไม่เชื่อของข้าพระองค์และขอทรงรื้อฟื้นความเชื่อให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งได้ทรงปลดปล่อยให้แก่พวกธรรมิกชน ข้าพระองค์ขอมอบตัวของข้าพระองค์แด่พระองค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ขณะที่พวกเราน้อมศีรษะของพวกเราลง...

ข้าพระองค์ย่างก้าวไปในที่ชีวิตที่สับสนมืดมิด

และความเศร้าโศกรอบๆ ข้าพระองค์กระจายไป

ทรงเป็นผู้นำทางของข้าพระองค์

ทรงสั่งความมืดกลายเป็นกลางวัน

ทรงชำระทุกความกลัวของข้าพระองค์ออกไป

ทรงไม่เคยให้ข้าพระองค์หลงทาง

นอกเหนือจากข้าพระองค์

ขณะที่พวกเราก้มศีรษะของพวกเราลงในเวลานี้ คุณสัมผัสว่า คำเทศนาตอนเช้านี้ได้ทำให้คุณดีหรือไม่ครับ? ให้คุณมีความกล้าหาญไหมครับ? ถ้าหากคุณสัมผัสได้ให้ยกมือของคุณขึ้นมาแด่พระเจ้า ทูลว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์” ผมยกมือทั้งสองข้างของผมขึ้นเพราะผมสัมผัสว่าสิ่งนั้นได้ช่วยผม ทำให้ผมกล้าหาญ

บางสิ่งบางอย่างที่ผมพูด ผมไม่คิดว่าผมจะพูด แต่ก็ได้พูดไปแล้ว มันเป็นการกระหนาบแก่ผม ผมพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในทางที่ผมคิดว่าผมได้อยู่ แต่ผมพบว่าตัวเองรู้สึกผิดจากการร่ำไห้ออกมาตลอดเวลาแทนการพูด พระเจ้า ขอทรงช่วยผมจาก ณ เวลานี้ที่ผมจะเป็นผู้รับใช้ที่ถวายมากขึ้น ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้น ผมอธิษฐานให้พวกคุณด้วย เป็นพระกายของพระคริสต์ด้วยกัน ที่ได้รับการทรงเรียกให้ออกมาจากโลก กำลังเตรียมพร้อมสำหรับดินแดนแห่งพระสัญญา ที่พระเจ้าจะประทานความกล้าหาญให้แก่ผมที่จะพูดในทางนั้น ทรงกระทำหนทางนั้นให้กระจ่างชัดเพื่อพวกคุณจะไม่พลาดเส้นทางนั้น ผมจะบอกพวกคุณโดยพระคุณของพระเจ้า ผมจะดำเนินไปตามรอยเท้าที่เปื้อนพระโลหิตของพระองค์ผู้ที่ได้เสด็จไปเบื้องหน้าพวกเราและ ...

ไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ข้าพระองค์จะแบกไว้

จนกว่าความตายจะทำให้ข้าพระองค์เป็นไท

และจากนั้นกลับบ้านไปสวมมงกุฎ

มีมงกุฎสำหรับข้าพระองค์

ข้าพระองค์ทั้งหลายขอมอบสิ่งนี้แด่พระองค์ พระบิดา การถวายของข้าพระองค์ทั้งหลาย ในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ อาเมน

พวกเราขอบพระคุณพระบิดาสำหรับการดำเนินชีวิตที่ได้มอบ

ถวายนี้ จงมอบตัวของคุณให้มากกว่าเพียงแค่ความอ่อนหวาน,, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, การดำเนินในพระวิญญาณ, เดิน, พูด, แต่งตัว, ทำตัวเป็นคริสเตียน, ถ่อมใจและน่ารัก จงอย่าปล่อยให้สิ่งนี้ล้มเหลวในเวลานี้ พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสผ่านพระวจนะ ตรัสผ่านของประทานต่างๆ เมื่อของประทานหนึ่งมา ของประทานอื่นสำแดงออกมา ของประทานอื่นมาและสำแดงออกถึงสิ่งเดียวกัน ดูเถิดครับ! นั่นแน่นอนกับพระวจนะที่ถูกต้อง ณ เวลาที่ถูกต้อง พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับพวกเรา พวกเราขอบพระคุณพระองค์อย่างยิ่งสำหรับสิ่งนี้ เวลานี้ด้วยศีรษะของพวกเราที่ได้ก้มลง ถ้าพี่น้องหญิงของพวกเราจะบรรเลงดนตรีให้พวกเรา...

จงใช้พระนามพระเยซูกับท่าน

เพื่อเป็นโล่จากบ่วงทุกบ่วง

เมื่อสิ่งล่อลวงอยู่รายรอบท่าน

จงเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นั้นในการอธิษฐาน

จงทำอย่างนั้น พูดถ้อยคำ กล่าวพระนามของพระองค์ ขอให้พวกเราร้องเพลงในเวลานี้ขณะที่พวกเรากำลังจะจากที่นี่ไป:

จงใช้พระนามพระเยซูกับท่าน

บุตรแห่งความโศกเศร้าและความทุกข์

ทรงให้ความปิติยินดีและปลอบประโลมแก่ท่าน

จงใช้พระนามในทุกที่ที่ท่านไป

พระนามอันทรงแสนลํ้าค่า...

ความหวังของแผ่นดินและความปิติยินดีของสวรรค์

ตอนนี้ให้จับมือกันและกันและพูดว่า ผมจะอธิษฐานเผื่อคุณพี่น้องชาย ให้คุณอธิษฐานเผื่อผมด้วย

ความหวังของแผ่นดินและความปิติยินดีของสวรรค์

พระนามอันทรงแสนลํ้าค่า โอ้ ช่างแสนหวาน!

เวลานี้ด้วยศีรษะของพวกเราที่ก้มลง ให้พวกร้องเพลงท่อนต่อไปนี้

จงใช้พระนามพระเยซูกับท่าน

เพื่อเป็นโล่จากบ่วงทุกบ่วง

เมื่อสิ่งล่อลวงอยู่รายรอบท่าน

จงเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นั้นในการอธิษฐาน จงเอ่ย

พระนามอันทรงแสนลํ้าค่า โอ้ ช่างแสนหวาน!

ความหวังของแผ่นดินและความปิติยินดีของสวรรค์

พระนามอันทรงแสนลํ้าค่า โอ้ ช่างแสนหวาน!

ด้วยศีรษะของพวกเราที่ก้มลงและจิตใจของพวกเราที่ถ่อมลง ด้วยความตระหนักที่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ที่ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว”

ด้วยรู้ว่าพวกเราครอบครองสิ่งนั้นภายในหัวอกของพวกเราโดยพระคุณของพระเจ้า ด้วยการมอบถวายแด่พระองค์ในเช้าวันนี้ว่า ชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่พวกเราจะมีความคิดของพวกเราที่เป็นบวกมากขึ้น พวกเราพยายามที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในความอ่อนหวานดังกล่าวและความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เชื่อว่าสิ่งที่พวกเราทูลขอพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้แก่กันและกัน และพวกเราจะไม่พูดความชั่วร้ายต่อต้านกันและกันหรือผู้อื่น พวกเราจะอธิษฐานให้ศัตรูของพวกเราและรักพวกเขา ทำดีแก่พวกที่ทำไม่ดีแก่เรา พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาว่าผู้ใดถูกและผิด แต่บนพื้นฐานของสิ่งนี้และศีรษะของพวกเราที่ก้มลง ผมกำลังจะขอให้เพื่อนที่ดีของพวกเรา บราเดอร์เวย์ลี่ มาอธิษฐานปิดการประชุม บราเดอร์เวย์ลี่